news-details
Business

“พฤกษา” ปักธงแผนปี’68 รุกเปิด 22 โครงการใหม่ในเมืองมากขึ้น รวมมูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท เดินหน้าสู่ผู้นำเวลเนส เรสซิเดนซ์ ตั้งเป้าอนาคตเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจเฮลท์แคร์ ทะยานระดับ 50%

พฤกษา โฮลดิ้ง เผยแผนธุรกิจปี2568 รุกเปิด 22 โครงการใหม่ในเมืองมากขึ้น รวมมูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท  พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยที่ผสานความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ควบคู่การบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้ารายได้รวม 23,500 ล้านบาท โฟกัสธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ปรับพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง เพิ่มสัดส่วนตลาดบ้านระดับกลางถึงบน ต่อยอดธุรกิจพรีคาสท์ พร้อมรุกตลาดก่อสร้างเต็มรูปแบบ ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพเติบโตต่อเนื่องในทุกมิติ เตรียมขยายโรงพยาบาลเฉพาะทาง รองรับความต้องการอีก 3 แห่ง  ตั้งเป้าอนาคตเพิ่มสัดส่วนรายได้เฮลท์แคร์ ทะยานระดับ 50%

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ PSH  เปิดเผยว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงสูงอยู่ ทำให้พฤกษาฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 456 ล้านบาท ทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 31.3% โดยยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.31 เท่า

สำหรับปี 2568 หากมองในภาพใหญ่ วิกฤติเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่ โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะทำให้เศรษฐกิจไทยลดลงไปบ้าง ซึ่งธุรกิจอสังหาฯก็เช่นกัน และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะพิจารณาเรื่องการผ่อนปรนมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) อีกรอบ ถือว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องอัตราดอกเบี้ย ที่ไม่สามารถลดได้มากนัก แต่หากผ่อน LTV และลดเงื่อนไขได้ประมาณ 2-3 ปีก็จะยิ่งดี เพราะว่าแม้ตลาดชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2568 ต้องยอมรับว่าตลาดหดตัวลง แต่เชื่อว่าคงเป็นในระยะสั้น และจะมีการขยายตัวดีขึ้นในอนาคต สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัท ยังคงดำเนินการไปตามทิศทางของภาพรวมตลาด และมุ่งเน้นไปทางด้านเฮลท์แคร์มากขึ้น ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนในธุรกิจดังกล่าวเป็น  50% แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าภายในระยะกี่ปี จากที่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้เกือบ 70% จะมาจากธุรกิจอสังหาฯ และที่เหลือมาจากธุรกิจเฮลท์แคร์ 20%

“ในปี 2568 เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ยึดหลักการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และเน้นการสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งสุขภาพและความสะดวกสบาย” นายทองมา กล่าว

นายทองมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 23,500 ล้านบาท ชู 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1.กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Strategic Positioning Strategy) ด้วยการบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการจัดการและปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เสริมสร้างสภาพคล่องด้วยการรักษากระแสเงินสดและเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการลงทุนในอนาคต พร้อมปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ

2.กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย(Resilient Growth Strategy) ด้วยการสร้างนิยามใหม่ของแนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย พร้อมขับเคลื่อนการลงทุนและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในและต่างชาติ

 “พฤกษา โฮลดิ้ง เดินหน้าสู่อนาคตด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง การขยายธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้างที่ทันสมัย และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ครบวงจร โดยยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) เป็นแกนหลักของการดำเนินงาน เพื่อสร้างสังคมที่ดีและความมั่นคงและเติบโตในระยะยาว ส่วนนโยบายการนำคอนโดฯมาปล่อยเช่ารายวันนั้น ทางพฤกษาฯไม่เห็นด้วย เพราะการดำเนินการทุกอย่างต้องผ่านนิติบุคคลอาคารชุดตามที่กฎหมายกำหนด” นายทองมา กล่าว

 

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  หรือ PS กล่าวว่า ในปี 2568 พฤกษาวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 22โครงการ มูลค่ารวม 23,400 ล้านบาท มากกว่าปี 2567 ที่สามารถเปิดตัวได้ 16 โครงการ รวมมูลค่า 18,200 ล้านบาท(น้อยกว่าที่ประกาศแผนไว้เมื่อต้นปี 2567 ที่จะเปิดตัว 29 โครงการ รวมมูลค่า 27,109 ล้านบาท)  แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ มูลค่า 4,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 8,100 ล้านบาท ซึ่งทั้งแนวราบและแนวสูง ปีนี้จะเน้นการพัฒนาเข้ามาในเมืองมากขึ้น และมีขนาดเล็กลง เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในยุคปัจจุบัน รวมไปเน้นพัฒนาโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์ และโครงการที่มีจุดเด่นด้านทำเล โดยในปี 2568 จะมีการเปิดตัวแบรนด์ระดับบนหลายโครงการ เช่น The Palm, The Reserve และ Chapter โดยมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาท ราว 50% โดยตั้งเป้ายอดขายที่ 19,800 ล้านบาท และยอดขายผ่านโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร (JV)  อีก 3,200 ล้านบาท รวมถึงยอดโอน 18,700 ล้านบาท และยอดโอนผ่านโครงการJV อีก 1,600 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะรับรู้เป็นกำไรจากการลงทุนใน JV

“เรามีโปรเจกต์ร่วมทุนขนาดใหญ่คือ โครงการ  “โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส” คลังสินค้าครบวงจรด้วยเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและบริการโซลูชั่นแบบองค์รวม มูลค่าการลงทุนประมาณ 9,000 ล้านบาท บนพื้นที่ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นการร่วมมือในระดับภูมิภาคผ่านกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” ที่พฤกษาฯ ได้ผนึกความร่วมมือกับ 2 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ แคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจจัดการการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศสิงคโปร์ และ แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ให้บริการโซลูชั่นคลังสินค้าแบบครบวงจรในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไต้หวัน โดยโครงการดังกล่าว PSH ถือหุ้นในสัดส่วน 60% ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2569”นายธีระ กล่าว

ด้านกลยุทธ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 ชู 2 กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักของบริษัทฯได้แก่

1.กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Strategic Positioning Strategy)ผ่านการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอจำหน่ายที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนา มูลค่า 1,000 ล้านบาท และพัฒนาโครงการใหม่จากที่ดินที่มีอยู่เดิมมูลค่ารวม2,900 ล้านบาท เร่งปิดโครงการเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ได้อีก 31 โครงการ และปรับสัดส่วนโครงการแนวราบจาก ทาวน์เฮาส์ ต่อ บ้านเดี่ยว จาก 60:40เป็น 50:50 ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ด้วยการแบ่งโซนนิ่ง ครอบคลุมเป็น 6 โซนหลัก เและ การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง(Inventory Stewardship) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีจากอินโนพรีคาสท์ และ อินโนโฮม คอนสตรัคชั่น

2.กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย (Resilient Growth Strategy)มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยจะเน้นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับ Ultra-premium segment เช่นTHE RESERVE, THE PALM สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ส่งเสริมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ (Well-being-focused collaborative synergy) มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมโอนคอนโดใหม่ในปีนี้อีก 4 โครงการ (Strengthening Catalyst) เพื่อรักษามาร์จิ้นในระดับสูงไว้ได้ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะทำให้สร้างกำไรมากขึ้นได้ในปีนี้

ส่วนธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้าง เตรียมขยายการผลิตและนำเสนอบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยโรงงานพรีคาสท์ซึ่งเป็นโรงงานสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี และยังเป็นโรงงานปลอดขยะ (Zero-Waste) และลดคาร์บอนแห่งแรก ในปี 2568 ธุรกิจพรีคาสท์ตั้งเป้ารายได้ 2,100 ล้านบาท เน้นขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดให้มากขึ้น เช่น ผนังน้ำหนักเบา (Lightweight Wall) กำแพงกันดิน (Retaining Wall) และรั้วสำเร็จรูป (Project Fence) ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างตั้งเป้ารายได้ 5,400 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าทั้ง Business-to-Business หรือ B2B และ Business-to-Customer หรือ  B2C สำหรับการสร้างบ้านในระดับราคา 10 - 30 ล้านบาท

ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพ นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ธุรกิจการดูแลสุขภาพของโรงพยาบาลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ โดยในปี 2567กลุ่มวิมุตมีรายได้ 2,187 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน มี EBITDA อยู่ที่ 112 ล้านบาท รายได้หลักมาจากศัลยกรรม การตรวจสุขภาพ การดูแลเด็ก แผนกฉุกเฉิน แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ กระดูกสันหลัง สูตินรีเวช และระบบทางเดินอาหาร

สำหรับปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 2,600 ล้านบาท และกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 ได้แก่

1) พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ทางด้านสุขภาพปอดจักษุ กระดูกสันหลัง ต่อมไร้ท่อ ศัลยกรรม กุมารเวชระบบทางเดินอาหารและตับ หัวใจและหลอดเลือด

2) ยกระดับการดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริหารต้นทุน และการใช้ทรัพยากรในกลุ่มบริษัทฯ ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ จัดซื้อ การตลาด การเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศ

3) การพัฒนาด้านสุขภาพและการลงทุน เตรียมความพร้อมเพื่อเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางเพิ่มอีก 3 แห่ง บริเวณย่านทองหล่อ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเกี่ยวกับหัวเข่า ประมาณ 100 เตียง มูลค่าการลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท, สุขุมวิท จำนวน 4-5 เฟส มูลค่าการลงทุนประมาณ 10,000-12,000 ล้านบาท และปิ่นเกล้า จำนวน 3 เฟส มูลค่าการลงทุนประมาณ 7,500 ล้านบาท  รวมไปถึงการสร้างความร่วมมือกับธุรกิจในกลุ่มพฤกษา เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพและสร้างรายได้เพิ่มเติม

 

“ปัจจุบันเรามีโรงพยาบาลรองรับผู้ป่วยทั้งหมดกว่า 400 เตียง และอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าจะมีเพิ่มถึง 600-700 เตียง” นายแพทย์สุวาณิช กล่าวในที่สุด

 

 

You can share this post!