news-details
Business

PF เปิดแผนปี’68 ผุด 7 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 9.6 พันล้าน พร้อมขยายไลน์ชิงเค้กตลาดรับสร้างบ้าน เจาะกลุ่มราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป พื้นที่กทม.-ปริมณฑล-EEC

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดแผนปี 2568  ผุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาทพร้อมประกาศรุกชิงเค้กตลาดรับสร้างบ้านจากมูลค่าตลาดรวมถึง 211,000 ล้านบาท เจาะกลุ่มราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป เน้นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และ EEC มุ่งปรับโครงสร้างการเงินให้แข็งแกร่ง ลดภาระหนี้ หวังหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1 เท่า ลดหนี้หุ้นกู้ต่อเนื่องให้เหลือต่ำสุดในรอบ 5 ปี และกวาดยอดขาย 11,000 ล้านบาท รายได้ 10,000 ล้านบาท

 

นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่า บริษัทเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจและสร้างรายได้ให้เติบโต ด้วยความหลากหลายของสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งในโครงการที่ดำเนินการอยู่ โครงการใหม่ ตลอดจนธุรกิจใหม่ โดยมีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 5 โครงการ รวมมูลค่า 7,200 ล้านบาท  ทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท และ อาคารพาณิชย์ 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท

โครงการใหม่ในปีนี้ ไฮไลท์อยู่ที่การต่อยอดความสำเร็จพร้อมคอนเซ็ปต์ใหม่ อาทิ การเปิดโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ “เพอร์เฟค เพลส” ที่ถือเป็นแฟล็กชิปทำรายได้หลักให้บริษัท ใน 3 ทำเล ราชพฤกษ์ 346, รามอินทรา และ กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า  เปิดโครงการ  “มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ 2” ตอบรับการเติบโตของถนนหอการค้าไทย ชุมชนขนาดใหญ่ที่รวมโครงการของ 8 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มีมูลค่ารวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคอมมูนิตี้ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโซนแจ้งวัฒนะ นอกจากนี้ยังมีโครงการ “เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่ 2” ที่มีการลงทุนโรงแรมเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ โดยจะนำประสบการณ์จากการพัฒนาโครงการในต่างประเทศมาใช้ เพื่อทำให้เขาใหญ่เป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น รวมถึงการเปิดตัว “บ้านริมทะเลสาบ เลค เลเจ้นด์ บางนา” หลังประสบความสำเร็จทำยอดขายไปแล้วเกือบ 2,000 ล้านบาท ปีนี้จะมีการพัฒนารูปแบบใหม่ให้เป็นที่สุดของบ้านริมทะเลสาบ 100 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดระดับพรีเมี่ยม

นอกเหนือจากสินค้าพร้อมเข้าอยู่ได้ทันทีทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม บริษัทยังจะเพิ่มสินค้าบ้านแบบพร้อมเข้าอยู่ใน 3-6 เดือน ที่สามารถปรับเปลี่ยนวัสดุบางอย่างได้ สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับรายได้ปานกลาง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ตรงตามไลฟ์สไตล์มากขึ้น  สำหรับกลุ่มสินค้าลักชัวรี่ จะมีความร่วมมือเพิ่มเติมกับโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ทั้งในทำเลแจ้งวัฒนะ รามคำแหง กรุงเทพกรีฑา และบางนา เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ทั้งผู้ปกครองชาวไทย และ กลุ่ม EXPAT ที่เข้ามาประกอบธุรกิจและทำงานในตำแหน่งระดับสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการโยกย้ายเข้ามาพักอาศัยในระยะยาว

 

นายศานิต กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังจะขยายไปยังธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มเติม  โดยจะจับกลุ่มที่บริษัทมีความชำนาญ ได้แก่บ้านระดับ กลางตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง  มีแผนให้บริการในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และเขตโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( Eastern Economic Corridor : EEC) 3 จังหวัดซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการเติบโตที่ดี โดยจะชูจุดเด่นในด้านประสบการณ์การก่อสร้างที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และรวดเร็วด้วยระบบการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปที่ไว้วางใจได้ การรุกเข้าสู่ตลาดรับสร้างบ้าน นอกจากจะเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้จากตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 211,000 ล้านบาทแล้ว  ยังทำให้บริษัทมีสินค้าที่ครอบคลุมทั้งบ้านในโครงการและบ้านสั่งสร้างบนที่ดินของตนเอง

ด้านโครงสร้างการเงิน บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายจะลดภาระหนี้ลง เพื่อให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1 เท่าภายในปีนี้  โดยเฉพาะการลดหนี้หุ้นกู้ ปีที่ผ่านมาบริษัทชำระคืนหุ้นกู้ไปแล้ว 6,600 ล้านบาท  เริ่มไตรมาสแรกของปีนี้มีการชำระคืน 2,650 ล้านบาท และยังมีแผนคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปีนี้อีก 3,700 ล้านบาท  ด้วยวงเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงิน และการทยอยปิดการขายโครงการต่างๆ  ทั้ง “ยู คิโรโระ” คอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่น ที่ปิดการขายเพนท์เฮาส์ 2 ห้องสุดท้าย มูลค่ารวม 1,150 ล้านเยนไปในไตรมาสแรก และยังคาดว่าจะสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ อยู่รวยคอนโด และเมโทร สกาย วุฒากาศในไตรมาสที่ 2  เป้าหมายการลดหนี้หุ้นกู้ต่อเนื่อง จะเป็นผลให้บริษัทมีหนี้หุ้นกู้เหลืออยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่เคยมีมูลค่าหุ้นกู้สูงสุดอยู่ที่ 20,000 ล้านบาทเมื่อปี 2563

อย่างไรก็ตามในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายที่ 11,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 7,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 1,500 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 2,000 ล้านบาท รายได้รวมปีนี้ประมาณการไว้ที่ 10,000 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 1,500 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 1,500 ล้านบาท

 

You can share this post!