เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เผยภาพรวมธุรกิจยังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจ-กำลังซื้อชะลอตัว เชื่อระยะกลาง-ยาว ฟื้นตัวแน่ นโยบายภาครัฐ ช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ-กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ กางแผนปี 68 ผุดแนวราบ-คอนโดฯ 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท ครอบคลุมทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯนครราชสีมา และขอนแก่น ล่าสุดเตรียมงัดที่ดินทำเลทอง Freehold แปลงสุดท้าย ย่านหลังสวน ผุดคอนโดฯหรู ราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ด้านโครงการ “” คาดสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้หลังจากเกิดแหล่งงาน เบื้องต้นเล็งสร้างอะพาร์ตเมนต์ รองรับแรงงาน ตั้งเป้าปีนี้กวาดรายได้ 11,200 ล้านบาท โต 23%
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงมองหาโอกาสในการพัฒนาสินค้าในกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาเสริมรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันจะมีความท้าทายในด้านเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของคนในประเทศที่ชะลอตัว กระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าในระยะกลาง-ยาว เศรษฐกิจไทยจะเห็นการฟื้นตัวกลับมา และค่อยๆดีขึ้น จากนโยบายของภาครัฐในด้านการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ การกระตุ้นการท่องเที่ยว การลงทุนโครงการของภาครัฐ และการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2568 จะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 6 โครงการครอบคลุมทำเลศักยภาพในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น มูลค่ารวม 9,803 ล้านบาทแบ่งเป็น
-แนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวม 9,353 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว และบ้านแฝดระดับลักชัวรี่ไปจนถึงระดับบนอย่าง The Grand, Grandio และไฮไลต์แบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวไปแล้วอย่าง Gramourได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้ากลุ่ม mid – high พร้อมนำเสนอทาวน์โฮมพรีเมียมแบรนด์ใหม่ Goldina ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมอย่างต่อเนื่อง
-คอนโดมิเนียม 1 โครงการ แบรนด์ KLOS รามอินทรา – แฟชั่น มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จของคอนโดฯแบรนด์ KLOS รัชดา
“บริษัทมองว่าสินค้าที่อยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดมิเนียมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจที่อยู่อาศัยของ FPT และเป็นกลุ่มสินค้าที่สามารถเจาะกลุ่มและขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติได้ ทำให้บริษัทสามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาเสริม ซึ่งบริษัทจะเริ่มขยายการพัฒนาคอนโดมิเนียมมากขึ้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก คือ KLOS รัชดา ซึ่งได้รับการตอบรับกับลูกค้าเป็นอย่างดี”นายสมบูรณ์ กล่าว
ส่วนในปี 2569 บริษัทคาดว่าจะมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2-3 โครงการ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวจะพัฒนาคอนโดมิเนียมหรู บนทำเลหลังสวน 1 โครงการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.5 ไร่ ถือว่าเป็นที่ดิน Freehold แปลงสุดท้ายในย่านหลังสวน (เดิมถือครองโดยบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ต่อมาได้ขายให้บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD ดังนั้นหลังจากที่ FPT ควบรวม GOLD ก็ถือครองที่ดินแปลงงามย่านหลังสวนไปโดยปริยาย)ปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) และได้ทำการทุบ สิ่งก่อสร้างเดิม (แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ เมยแฟร์ กรุงเทพฯ)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมเริ่มดำเนินการก่อสร้างในอนาคต คาดว่าจะเป็นอาคารสูงกว่า 30 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอย 80 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาขายเริ่มต้นที่ 30 ล้านบาท หรือ 400,000-500,000 บาท/ตารางเมตร จำนวนประมาณ 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท
และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าที่เปิดใหิบริการในปัจจุบันเพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มเติมในปี 2569 โดยการที่มีคอนโดมิเนียมเข้ามาเสริมไนพอร์ตธุรกิจที่อยู่อาศัยของบริษัทจะเป็นปัจจัยที่สามารถผลักดันให้รายได้กลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยของ FPT เพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 15,000-16,000 ล้านบาท ได้ในอนาคต จากปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 11,200 ล้านบาท ซึ่งจะมีรายได้จากคอนโดมิเนียมเข้ามากว่า 2,000-3,000 ล้านบาทในอนาคต ในช่วงที่เริ่มโอนคอนโดมิเนียมมากขึ้น ซึ่งบริษัทมองเห็นการกระจายกลุ่มสินค้าให้หลากหลาย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการในการอยู่อาศัยที่แตกต่างกัน จากปัจจุบันที่เน้นไปที่การพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก
ส่วนความคืบหน้าในการจะเข้าไป พัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการ “อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” บริเวณบางนา-ตราด กม.32 ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทั้ง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน), บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จำกัด หรือเอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท ซึ่งเฟรเซอร์ส ถือหุ้นในสัดส่วน 50% ขณะที่โรจนะและเอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท ถือหุ้นคนละ 25% นั้น ในเบื้องต้นคงต้องมีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม,โลจิสติกส์ และ
คลังสินค้า ในเฟสแรกเกือบ 2,000 ไร่มูลค่าการลงทุนเกือบ 20,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดแรงงานเสียก่อน ซึ่งโซนที่อยู่อาศัยนั้นจะเป็นโซนสุดท้ายที่จะพัฒนา จากทั้งหมด 6 โซน โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ราคา 5-8 ล้านบาท และทาวน์โฮม ราคา 2-3 ล้านบาทขึ้นไป เปิดพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 200 ไร่
แต่ในเบื้องต้นทางบริษัทฯมีแผน ที่จะพัฒนาเป็นอะพาร์ตเมนต์ก่อน ในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า เพราะต้องรอสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งการก่อสร้างอะพาร์ตเมนต์ จะใช้ที่ดินประมาณ 5-10 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ในปี 2568 นี่คาดว่าจะมีสัดส่วนโครงการแบ่งเป็นแนวราบรวมทั้งหมด 79 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ รวมมูลค่า 114,738 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังวางแผนขยายโครงการขนาดเล็กในเมืองมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าปัจจุบัน และดึงดูดลูกค้าใหม่ ด้วย 3 กลยุทธ์หลักภายใต้แนวคิด “Together for the Greater Living – โลกที่ดี เริ่มจากชีวิตที่ดี”
1.Function and Care – ใส่ใจทุกรายละเอียดการออกแบบทั้งยังสอดคล้องกับแนวทาง ESG ที่เน้นการเติบโตของธุรกิจไปพร้อมกับการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และเป็นส่วนหนึ่งในการลดค่าใช้จ่ายให้ลูกบ้าน สะท้อนผ่านการดีไซน์ฟังก์ชันในบ้านที่คำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้า อาทิ การออกแบบช่องแสง ลม และพื้นที่เพดานที่สูงกว่ามาตรฐานในบ้านซีรี่ย์ใหม่เพื่อการถ่ายเทอากาศที่สะดวกยิ่งขึ้น ลดอุณหภูมิภายในบ้านในช่วงกลางวัน, ระบบกรองอากาศ Clean and CoolAir ที่ช่วยกรองเชื้อรา สารระเหย และฝุ่นได้ถึงระดับ PM 2.5, บริการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้ลูกบ้าน, ฟังก์ชันห้องซัก ตาก รีดในร่มหมดกังวลเรื่องฝุ่น และฝนขณะตากผ้า รวมไปถึงการออกแบบพื้นที่สวนสาธารณภายในโครงการสอดรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคใหม่ อาทิ pet park พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงที่เปรียบเหมือนสมาชิกในครอบครัวและเพิ่มการปลูกผักปลอดสารพิษนอกเหนือจากต้นไม้เพื่อการตกแต่งในพื้นที่สีเขียวรอบโครงการเป็นต้น
2.Real Estate as a Service – ผ่านแนวคิด customer centric ในการนำเสนอบริการหลังการขายที่เข้าถึง และเข้าใจลูกบ้านนำนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผ่านแอพพลิเคชัน FTX ที่ช่วยลูกบ้านในการเข้าถึงกิจกรรม สิทธิพิเศษ แจ้งงานซ่อม และติดตามสถานะงานซ่อมได้สะดวก และรวดเร็ว
3.Sustainable Living – โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED v4.1(Leadership in Energy and Environmental Design) สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวในระดับ Gold ซึ่งเป็นมาตรฐานรางวัลที่ได้รับความน่าเชื่อถือสำหรับอาคารสีเขียวในระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนับเป็นโครงการบ้านเดี่ยวแห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองสำหรับบ้านต้นแบบมาตรฐาน ภายใต้แบรนด์
The Grand ริเวอร์ฟร้อนท์ ราชพฤกษ์ – พระราม 5โดยจะมีการนำหลักเกณฑ์การออกแบบบ้านที่ได้รับมาตรฐาน LEED มาปรับใช้ในทุกโครงการต่อจากนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ายกระดับมาตรฐานที่อยู่อาศัยไทยอย่างต่อเนื่อง วางแผนยื่นขอรับรองมาตรฐาน TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) ซึ่งเป็นการประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย โดยสถาบันอาคารเขียวไทย (TGBI)
“เราต่อยอดจากกลยุทธ์ กอด – Secure Core, Embrace Future มายังธุรกิจที่อยู่อาศัยที่ยังคงมุ่งรักษาลูกค้าผ่านการเพิ่มการมีส่วนร่วมกับลูกบ้าน พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านการดำเนินงานที่โฟกัสสามส่วนคือ สินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และฟังก์ชันใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเจเนอเรชันใหม่มากขึ้น นำเสนอบ้านคุณภาพด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่เข้าใจลูกค้า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน และอนาคตสอดรับกับจุดยืนของแบรนด์ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” นายสมบูรณ์ กล่าว
สำหรับในไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2568 (ตุลาคม - ธันวาคม 2567) บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัยถึง 2,003 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าเป็นผลมาจากกลยุทธ์ และการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย และโครงการศักยภาพหลายแห่ง อาทิ Grandio บางนา กม.5, Grandio เกษตร – นวมินทร์, Grandio ฟิวเจอร์ - รังสิต, Golden Town ศิริราช – ราชพฤกษ์ และ Golden Neo สุขุมวิท – ลาซาล รวมไปถึงการนำเสนอแคมเปญการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สร้างการรับรู้ และกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออย่าง “บ้านเฟรเซอร์ส คิดมาครบ” ที่มีการนำแนวคิด customer centric มาปรับใช้โดยมุ่งเน้นความต้องการของลูกค้าเป็นหลักยึดในการดีไซน์แบบบ้าน และฟังก์ชันภายในบ้านให้ครบตอบโจทย์ลูกค้าทุกเจเนอเรชัน สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโต 23% ด้วยยอดรายได้ 11,200 ล้านบาท มุ่งตอกย้ำความเป็นแบรนด์สากล