กลุ่มดุสิตธานีเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี68 ยังเผชิญความท้าทาย ต้องระวังในการลงทุน ล่าสุดงัดแลนด์แบงก์โซนสนามโปโลเดิม ด้านหน้ารร.ดุสิต หัวหิน พื้นที่ 20 ไร่ ชิมลางผุด “ดุสิต อจารา หัวหิน” มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ภายใต้ บริษัท ดุสิต เอสเตท จำกัดรูปแบบ Branded Residences เช่าระยะยาว 30 + 30 ปี ตอบโจทย์ความต้องการด้าน Well-being ครั้งแรก ราคา 200,000-250,000 บาท/ตารางเมตร มั่นใจตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชั่น
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังคงมีความท้าทายจากความไม่แน่นอนสูงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ขยายตัวได้มากนัก ทำให้บริษัทต้องลงทุนด้วยความระมัดระวังตามจังหวะของกลุ่มธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันบริษัทใช้เงินลงทุนไปค่อนข้างมากสำหรับโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) ทำให้ต้องรอจังหวะการลงทุนโครงการใหม่ โดยปลายปี 2568 นี้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยอัลตร้าลักชัวรี่ “เดอะ เรสซิเดนเซส แอท ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (The Residences at Dusit Central Park) ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ DUSIT ก็จะทำให้บริษัทฯมีเงินลงทุนสำหรับในการลงทุนโครงการใหม่ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล คือ ผู้นำอุตสาหกรรมการบริการระดับโลก ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานบริการ ผสมผสานความหรูหราแบบไทยกับความทันสมัยไปให้คนทั่วโลกได้รู้จัก โดยวางกลยุทธ์เพิ่มการพัฒนาศักยภาพสินทรัพย์และธุรกิจในเครือให้มีขีดความสามารถแข่งขันในตลาดประเทศไทยและตลาดโลกได้
ล่าสุดกลุ่มดุสิตธานี จึงได้นำที่ดินซึ่งเป็นสนามโปโลเดิม ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน เดิมคือ “ดุสิต รีสอร์ท แอนด์ โปโลคลับ” (Dusit Resort & Polo Club) จำนวน 20 ไร่ จากที่เหลือประมาณ 40 ไร่ มาพัฒนาโครงการ “ดุสิต อจารา หัวหิน” มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาในนาม บริษัท ดุสิต เอสเตท จำกัด
ที่สะท้อนความมุ่งมั่นของกลุ่มดุสิตธานีในการขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับอัลตร้าลักชัวรี ในรูปแบบ Branded Residences ให้ตอบโจทย์ความต้องการด้าน Well-being สร้างสุขภาพกายและใจ และเป็นสังคมที่ดีสำหรับคนทุกช่วงวัย ทุกเจเนอเรชัน (Multi-generational Living Concept) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตในประเทศไทยและทั่วโลก
โครงการ “ดุสิต อจารา หัวหิน” เป็นโครงการที่ผสมผสานความเชี่ยวชาญของกลุ่มดุสิตธานี ทั้งด้านการบริหารโรงแรม (Hotel Management) และการบริการ (Hospitality Services Management) ซึ่งนับเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน ยังสะท้อนศักยภาพด้านโอกาสในการสร้างรายได้ของกลุ่มดุสิตธานี ด้วยการใช้ประโยชน์จากที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) ซึ่งเป็นที่ดินที่มีศักยภาพสูง นำมาพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 3 ประการของกลุ่มดุสิตธานี ได้แก่ สร้างสมดุล สร้างการเติบโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
“เราเลือกหัวหินในการพัฒนาโครงการใหม่นี้ เพราะนอกจากเราจะมีโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ซึ่งอยู่คู่หัวหินมากว่า 30 ปีแล้วนั้น หัวหินยังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทยที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและมีความผูกพันระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติมาอย่างยาวนาน เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ของชายหาดที่สวยงามและบรรยากาศที่เงียบสงบ และยังคงมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้หัวหินเต็มไปด้วยโอกาสในการพัฒนา อีกทั้งการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐภายใต้นโยบายของการพัฒนาให้เป็น Smart City การขยายตัวของเมือง และการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งระยะสั้นและระยะยาว ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของตลาด โดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงอัลตร้าลักชัวรี ที่ได้รับ ความสนใจจากผู้ซื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงโครงการแบบ Branded Residences ที่ได้ความสนใจเป็นพิเศษ ปัจจัยส่งเสริมเหล่านี้ ทำให้เรามั่นใจว่า การพัฒนาโครงการแรกของแบรนด์คุณภาพ ‘อจารา’ (Ajara) กับ โครงการ ดุสิต อจารา หัวหิน (Dusit Ajara Hua Hin) ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท จะประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ” นางศุภจี กล่าว
ขณะเดียวกัน กลุ่มดุสิตธานีเชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและเพิ่มโอกาสการเข้าพักระยะยาวของชาวต่างชาติ รวมถึงยังสามารถต่อยอดเพิ่มฐานลูกค้าทั่วโลก โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งผสานเข้ากับความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยบนพื้นที่ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของคนทั่วโลกในการใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ระดับอัลตร้าลักชัวรี
“การเปิดตัวของโครงการ ดุสิต อจารา หัวหิน จะเป็นการบัญญัติมาตรฐานบทใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในด้านการขยายขีดจำกัดของศักยภาพในการบริหารสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัทดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ผ่านความเป็นเลิศในด้านนวัตกรรมการออกแบบที่มีความใส่ใจในทุกรายละเอียด การสร้างมูลค่าที่ไม่เพียงมุ่งเน้นแค่เรื่องของอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ไร้รอยต่อและสะท้อนถึงแก่นแท้ของการใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งในแง่ของการบริการระดับดุสิตธานีและการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่เติมเต็มคุณภาพชีวิตพร้อมเป็นที่อยู่อาศัยแห่งความสุขของทุกช่วงวัย” นางศุภจี กล่าว
นางสาวณัฐภาณุ์ ศรียุกต์สิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต เอสเตท จำกัด กล่าวว่า โดย “ดุสิต อจารา หัวหิน”เป็นโครงการแบบ Leasehold หรือการเช่าแบบระยะยาว 30 + 30 ปี ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ประกอบไปด้วย 7 อาคาร แบ่งเป็นอาคาร 3 ชั้น จำนวน 4 อาคาร และอาคาร 6 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวมทั้งสิ้น 96 ยูนิต โดยยูนิตจะมีขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 70 - 90 ตารางเมตร 2 ห้องนอน ขนาด 120 - 180 ตารางเมตร 3 ห้องนอน ขนาด 250 ตารางเมตร และเพนท์เฮาส์ ซึ่งในทุกอาคารได้ออกแบบให้บริเวณยูนิตชั้น 1 มีพื้นที่สวนสีเขียวส่วนตัว ขนาด 25 - 35 ตารางเมตร สำหรับราคาขายนั้น จะอยู่ในเรทเดียวกับราคาตลาดในพื้นที่หัวหิน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 200,000-250,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนราคาขายต่อยูนิตยังไม่สามารถสรุปได้ แต่เบื้องต้นคาดว่าจะไม่ถึง 20 ล้านบาท โดยเน้นลูกค้าชาวไทย สัดส่วน 60% และ ต่างชาติ 40% ซึ่งจะเน้นชาวจีนบางส่วน ซึ่งชาวต่างชาติที่นิยมมาท่องเที่ยวหัวหิน ส่วนใหญ่เป็นชาวสแกนดิเนียเวีย ยุโรป และจีนบางส่วน โดยห้องตัวอย่างจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568 และเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2569 และแล้วเสร็จในปี 2571
“เราได้วางแผนพัฒนาพื้นที่ด้านหน้าของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ขนาด 20 ไร่ เพื่อนำเสนอการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ผ่านคำว่า ‘ความสุข’ แห่งการอยู่อาศัยด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ โดยวางแผนพัฒนาที่พักอาศัยเป็นแบบ ‘Low Rise, Low Density’ ที่นำเสนอความเป็น ‘Multi-generational Living’ ให้ทุกช่วงวัยในครอบครัวสามารถอยู่อาศัยและใช้ช่วงเวลาอันทรงคุณค่าด้วยกัน ตอบโจทย์ที่พักอาศัยที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ครอบคลุมทุกเจเนอเรชัน สะท้อนแก่นแท้ของการใช้ชีวิตอันหรูหราเหนือกาลเวลาภายใต้แบรนด์ ดุสิต อจารา หัวหิน”นางสาวณัฐภาณุ์ กล่าว
นางสาวณัฐภาณุ์ กล่าวต่อไปว่า ด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49), PIA Interior และ P Landscape (PLA) มาร่วมดีไซน์สถาปัตยกรรมโดยจัดวางองค์ประกอบและเลย์เอาท์ของโครงการ ผ่านการดึงความงดงามสไตล์ ‘Bridging Oasis’ สร้างที่อยู่อาศัยให้แนบชิดธรรมชาติท่ามกลางสวนที่เขียวชอุ่มอย่างกลมกลืนเสมือนต้นไม้ได้โอบกอดผู้ที่พักอาศัย การแบ่งสัดส่วนพื้นที่ของตัวอาคาร พื้นที่ส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบ เปรียบเสมือนมีพื้นที่โอเอซิสสีเขียวขนาดใหญ่ในโครงการ พร้อมทั้งคำนึงถึงอารยสถาปัตย์ ‘Universal Design’ รองรับผู้ใช้งานทุกเจเนอเรชันได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยยังมีการออกแบบเส้นทางเดินที่เชื่อมโยงอาคารและพื้นที่สีเขียวให้รายล้อมด้วยต้นไม้พรรณพืชเขียวขจี สร้างความรู้สึกสงบและมีความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมพื้นที่สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเอ็กซ์คลูซีฟ อย่างครบครันรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้
ทุกเจเนอเรชันและสามารถให้ทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกัน อาทิ Main Courtyard สวนกลางบ้าน โซนไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย สนามเด็กเล่น ห้องนั่งเล่น ห้องเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ห้องรับประทานอาหาร พื้นที่สำหรับคลับเฮ้าส์ทั้งในร่มและกลางแจ้ง พร้อมการออกแบบภูมิทัศน์ที่สร้างประสบการณ์แวดล้อมด้วยความเขียวชอุ่มของพืชพันธุ์ไม้ใหญ่สไตล์สวนทรอปิคอลมากกว่า 60% ของพื้นที่โครงการ และยังยกระดับความหรูหราในการใช้ชีวิตขึ้นอีกขั้นผ่านการผสาน Branded Residences สไตล์ The Only Thai Branded Residences ที่นับว่าเป็นจุดแข็งด้านการบริการแบบ Gracious Hospitality ระดับเวิลด์คลาส โดยผู้อยู่อาศัยสามารถเรียกใช้บริการระดับโรงแรม 5 ดาว ได้จาก ดุสิต ฮอสพิตัลลิตี้ เซอร์วิสเซส (Dusit Hospitality Services) ที่นำเสนอผ่านการบริการ Concierge 24 ชั่วโมง บริการแม่บ้านทำความสะอาดที่พักอาศัย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ และสิทธิประโยชน์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ Dusit Gold Platinum ที่สามารถใช้บริการโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีที่ร่วมสิทธิ์ทั่วโลก