บิ๊กลลิล พร็อพเพอร์ตี้เผย หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เชื่อในช่วง 6 เดือน ไม่มีผู้ประกอบการกล้าเปิดคอนโดฯใหม่ จับตาอาจมีการปรับแผนใหม่ในครึ่งปีหลัง คาดการณ์ “โดนัลด์ ทรัมป์”ปรับขึ้นภาษีนำเข้า GDP ไทยอาจเหลือ 1% เศษ ด้านการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อของแบงก์และหนี้ครัวเรือน ยังเป็นปัจจัยที่ท้าทาย ไตรมาส 2 จ่อผุดอีก 2 โครงการในกทม.และชลบุรี ส่วนภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยโซนตะวันออกกทม.โดยเฉพาะบางนา-ศรีวารี จ.สมุทรปราการ เป็นหนึ่งในทำเลอนาคตที่น่าจับตามอง จากการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม ล่าสุดเปิดตัว“แลนซีโอ เพรสทีจ บางนา-ศรีวารี”มูลค่า 1,000 ล้านบาท เฟสแรกยอดพุ่งแล้ว 60-70% ตั้งเป้ากวาดยอดขายรวมทั้งปีที่ 5,000 ล้านบาท และรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า จากกรณีการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทำให้มีคอนโดฯหลายโครงการได้รับผลกระทบด้านวัสดุร่วงหล่น ผนังมีรอยร้าว มากน้อย แล้วแต่โครงการ มองว่าผู้ประกอบการรายใดที่เคยพัฒนาคอนโดฯและหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว หากมีผู้ประกอบการรายใดสวนกระแสเปิดคอนโดฯก็ไม่อยากพูดถึง และจากเมื่อต้นปี 2568 ที่หลายรายประกาศแผนพัฒนาโครงการไว้ โดยเฉพาะการรุกเปิดตัวคอนโดฯ ซึ่งคงต้องรอดูสถานการณ์ในช่วง 6 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เชื่อว่าคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดกล้าเปิดตัวคอนโดฯใหม่อย่างแน่นอน และหากผลตอบรับการพัฒนาคอนโดฯไม่ดี ผู้ประกอบการหลายรายคงต้องปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2568 นี้กันอีกรอบ ซึ่งอาจจะเลื่อนการเปิดตัวไปเป็นปี 2569 แทน ซึ่งโครงการแนวราบกลับไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวแต่อย่างใด เชื่อว่าอาจจะได้รับอานิสงส์เฉกเช่นเดียวกับช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งในส่วนของลลิลฯเองมองว่าหากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เกิดเหตุการณ์บานปลาย ทางลลิลฯก็คงจะไม่มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการแต่อย่างใด ซึ่งหากเป็นไปตามที่ประกาศไว้เมื่อไตรมาส 1/2568 คือมีแผนเปิดตัวใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 4,000-5,000 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯเองก็มีพันธมิตรจากสถาบันการเงินหลายแห่ง เพราะที่ผ่านมาลลิลฯถือว่าเป็นลูกค้าสถาบันการเงินที่ดี เพราะฉะนั้นเชื่อว่าหากเกิดสถานการณ์ไม่ดี สถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรมาตลอดจะให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
“กรณีที่อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น จากผลการตรวจสอบผลว่าส่วนหนึ่งมาจากคุณภาพเหล็ก และอีกไม่นานผลการตรวจสอบก็จะออกมา เพราะคุณภาพเหล็กแบบนี้น่ากลัวมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนธุรกิจเหล็กชาวจีนเข้ามาซื้อกิจการโรงงานไทยหลายแห่ง และนำเหล็กไม่มีคุณภาพมาขายและก่อสร้าง ซึ่งแนะนำว่าภาครัฐควรสั่งปิดโรงงานของชาวจีนเหล่านั้น เพราะมิเช่นนั้นก็จะมีนักธุรกิจเหล็กจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยอีกหลายร้อยแห่ง และจากปัญหานโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกของไทย ทำให้เศรษฐกิจยิ่งชะลอตัว และนักท่องเที่ยวก็ยังไม่กลับมามากเช่นในอดีต ทำให้ต้องยอมรับสภาพที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) อาจจะโตเพียงแค่ 1% เศษเท่านั้น ซึ่งต้องทำใจ และเมื่อมีปัจจัยท้าทายเกิดขึ้นก็อย่าได้ทุกข์ใจ และอย่าเครียด”นายไชยยันต์ กล่าว
ด้าน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วง 3 เดือนแรกยังทรงตัวในทิศทางที่เป็นบวก แต่ยังการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและหนี้ครัวเรือนที่สูง ยังเป็นปัจจัยที่ท้าทาย ส่วนสถานการณ์หลังเหตุแผ่นดินไหว อาจส่งผลให้ดีมานด์บางส่วนหันมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ทั้งนี้ต้องรอดูตัวเลขหลังจากนี้อีกระยะหนึ่ง
สำหรับไตรมาส 2/2568 บริษัทมีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ในทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 1 โครงการ และจ.ชลบุรี 1 โครงการ ส่วนมูลค่าโครงการยังไม่สรุป ซึ่งโครงการที่จะเปิดใหม่ในทำเล จ.ชลบุรี จะเป็นการเปิดตัวเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ขายหมดไป และบริษัทมองว่าการผ่อนปรนมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) น่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯในโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทำเลบางนา-ศรีวารี ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นการขยายตัวของเมืองจากกรุงเทพฯ ชั้นในมาสู่กรุงเทพฝั่งตะวันออก ทั้งจากโครงการขนาดใหญ่ อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิเฟสใหม่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ รวมถึงทางด่วนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ–ชลบุรี และถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก ที่เพิ่มศักยภาพในการเดินทางเชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่หลายแห่งในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก อาทิ Smart City สุวรรณภูมิ, โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC), ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ส่งผลให้โซนนี้กลายเป็นฮับสำคัญด้านเศรษฐกิจและการอยู่อาศัยของกรุงเทพฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งนอกจากภาคธุรกิจแล้ว เรายังเห็นการย้ายถิ่นฐานของครอบครัวคนเมืองมายังย่านนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ขึ้น สิ่งแวดล้อมที่สงบ และความสะดวกสบายรอบด้าน ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของกรุงเทพฝั่งตะวันออก ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จึงได้พัฒนาบ้านในรูปแบบต่างๆ นำเสนอสู่ผู้บริโภคอย่างหลากหลาย เพื่อให้มีโอกาสเลือกได้ตามที่ต้องการ พร้อมทั้งส่งบ้านไซส์ใหญ่เข้ามาเสริมพอร์ตการขาย เพื่อให้ลลิลมีบ้านครบทุกเซกเมนต์ รองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มในย่านนี้ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวโครงการ “แลนซีโอ เพรสทีจ บางนา-ศรีวารี” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ (จากที่ดินทั้งหมดเกือบ 200 ไร่ ที่ผ่านมาพัฒนามาแล้ว 2 โครงการ และ “แลนซีโอ เพรสทีจ บางนา-ศรีวารี” ถือเป็นโครงการที่ 3 คิดเป็นมูลค่า 2,000 ล้านบาท) พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวดีไซน์หรูและบ้านแฝดสไตล์ French Colonial ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ ขนาดตั้งแต่ 35-100 ตารางวา โดยแบบบ้านไฮไลต์คือ “EMPEROR” บ้านขนาดใหญ่ 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 209 ตารางเมตร เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่หรือครอบครัวที่อยู่ร่วมกันหลายเจเนอเรชัน รองรับไลฟ์สไตล์ที่เน้นการใช้ชีวิตภายในบ้าน ทั้งการทำงาน การเรียน และการพักผ่อน ด้วยแนวคิด Extra Function Room ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน ห้องเรียนออนไลน์ หรือห้องสำหรับผู้สูงอายุได้ตามต้องการ พร้อมแบบบ้านอื่นๆ ให้เลือกหลากหลายดีไซน์ ประกอบด้วย IMPERIAL พื้นที่ใช้สอย 174 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน, GORGEOUS A และ B พื้นที่ใช้สอย 156 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน, GARISH พื้นที่ใช้สอย 154 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน และ GRACE พื้นที่ใช้สอย 134 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน โดยทุกหลังมาพร้อมที่จอดรถ 2 คัน และเน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด Green Living Standard Plus ด้วยการเลือกใช้วัสดุประหยัดพลังงาน และติดตั้ง EV Charger ทุกหลัง ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3.99 - 8 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 182 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันในเฟสแรกมียอดขายแล้ว 60-70%
“เรามองว่าการพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงตอบโจทย์การอยู่อาศัยในปัจจุบัน แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตระยะยาว โครงการนี้จึงเป็นการรวมทุกองค์ประกอบที่คนยุคใหม่ต้องการไว้ในที่เดียว ทั้งเรื่องของทำเล ตัวบ้าน และสิ่งแวดล้อม” นายชูรัชฏ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯยังคงตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 5,000 ล้านบาท และรายได้รวม 4,000 ล้านบาท