ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 34.91 บาท/ดอลลาร์ "อ่อนค่าเล็กน้อย" กรุงไทย คาดในช่วง 24 ชั่วโมง จะอยู่ที่ 34.70-35.00 บาท/ดอลลาร์ รอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.91 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 34.82 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในกรอบ 34.67-34.94 บาทต่อดอลลาร์) โดยค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ล่าสุด ทางการสหรัฐฯ ได้เตรียมขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนอีก 50% ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนจะสูงถึง 104% ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้เงินหยวนจีน Offshore (CNH) อ่อนค่าลงต่อเนื่องชัดเจน สร้างแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท (ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีน Offshore CNH ราว 71%) นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 4-5 ครั้ง ในปีนี้ ของผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินยังได้ช่วยหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) นอกจากนี้ ผลการประมูลบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม
ส่วนในฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ความกังวลผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง อาจส่งผลให้ ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.50% และ 6.00% ตามลำดับ
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ว่าจะสามารถช่วยลดอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศล่าสุด ได้บ้างหรือไม่
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ จนกว่าตลาดจะคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หลังบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง กดดันให้บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยเพิ่มเติม ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ และเงินหยวนจีน ซึ่งเป็นสองสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทเกิน 70% (30-day Correlation) โดยหากราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท ส่วนในฝั่งเงินหยวนนั้น ต้องจับตาท่าทีของทางการจีน ว่าจะรับมือกับความเสี่ยงที่สหรัฐฯ เตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเป็น 104% (20%+34%+50%) อย่างไร นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจช่วยจำกัดการอ่อนค่าของเงินบาทได้ในระยะสั้น
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.70-35.00 บาท/ดอลลาร์