Thailand Fast Track ทางด่วนสตาร์ทอัพและนักธุรกิจต่างชาติลงทุนในประเทศไทย หนึ่งในความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่น่าลงทุน ผ่านการผนึกพลังกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เติมเต็มทุกความต้องการของสตาร์ทอัพและนักลงทุนจากทุกทวีปทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนและประกอบกิจการในไทย ปิดช่องว่าง ลดอุปสรรคและความท้าทายในการเข้ารับบริการต่างๆ ในไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ทั้งบริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย ตอบโจทย์การเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ เปิดให้บริการแก่สตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างชาติแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ผสานระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม
พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track: Attracting Global Community, Accelerating Thailand’s Growth สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เร่งเพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์จากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ตลอดจนการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ จากผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และลักเซมเบิร์ก พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นเกียรติในงาน
ทรู มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ
นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึง ความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขับเคลื่อนประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่ยุดดิจิทัล ผ่านทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยได้สรรหาทรัพยากรให้กับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อสนับสนุนการเติบโตและประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอมานานกว่า 6 ปี เราได้ทำงานร่วมกัน เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและธุรกิจระดับโลก สร้างเครือข่ายชุมชนเทคโนโลยีที่มีการขับเคลื่อนมากที่สุดในประเทศไทย สำหรับงาน Thailand Fast Track นี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ ทั้งยังได้เปิดตัว TDPK International Service Center ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งการจัดตั้งธุรกิจ บริการวีซ่า และสนับสนุนด้านการลงทุน และในฐานะตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอสำหรับวีซ่าพํานักระยะยาวในประเทศไทย จะช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินการได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้น
บีโอไอ กรุยทางดึงสตาร์ทอัพลงทุนในไทย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงประเทศไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า ระบบนิเวศสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสตาร์ทอัพและนักลงทุนทั่วโลก มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ ได้แก่
- ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดที่สำคัญอย่างอาเซียน จีน และ อินโด-แปซิฟิก รวมถึงมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
- บุคลากรที่มีทักษะสูง ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
- นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพจากบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล และ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ และโครงการ Startup Matching Fund ที่ให้เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50 ล้านบาทต่อสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Talent Attraction ผ่านวีซ่าพิเศษสำหรับสตาร์ทอัพ ทั้ง Long-Term Residence (LTR) Visa และ Smart Visa ทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ด้วยการร่วมมือกับภาคการศึกษาต่าง ๆ ปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนต่าง ๆ รวมถึงได้แต่งตั้งให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์สนับสนุนการขอวีซ่าและการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ และเสริมสร้างการเติบโตของสตาร์ทอัพและระบบนิเวศเทคโนโลยีของประเทศ"
ญี่ปุ่นเน้นพัฒนาบุคลากร ควบคู่กับธุรกิจที่เติบโตไปกับคนไทย
Mr. Kajiwara Toru, Minister and Chief of the Economic Section Embassy of Japan ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยว่า มีบริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยมีกลยุทธ์ที่ต้องการเติบโตไปด้วยกันกับคนไทย และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมสําหรับนักพัฒนาแรงงานไทย รวมถึงร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งยังชี้ให้เห็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ ปัญหามลภาวะทางอากาศ รวมถึงกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ (Decarbonization) ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้ครบทุกมิติ พร้อมย้ำว่า เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทย ทั้งยังเป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือบทบาทของคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
สหราชอาณาจักร ชื่นชมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยที่แข็งแกร่ง
Mr. Zak Lawton, Frist Secretary Technology & Head of Investment Embassy of the United Kingdom
กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยว่า สหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี มีความร่วมมือในด้านต่างๆ มากมาย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดธุรกิจด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เช่นปัญญาประดิษฐ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีโครงการที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการลดการใช้กระดาษและขั้นตอนต่างๆ เปลี่ยนไปใช้ระบบข้อมูลดิจิทัล อาทิ การจัดเก็บ การสืบค้น รวมไปถึงการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเสนอแนะเรื่องการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อช่วยให้การค้าและการลงทุนดำเนินการได้ง่ายมากขึ้น
ลักเซมเบิร์ก มองไทยโดดเด่นทั้งเทคโนโลยีทางการเงินและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน
Mr. Eric Lauer, Trade and Investment Advisor, Embassy of Luxembourg กล่าวว่านโยบายหลาย ๆ ด้านที่ไทยกำลังดำเนินการเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขั้นตอนทางกฎระเบียบให้คล่องตัวมากขึ้น หรือการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ อีกทั้งประเทศไทยยังมีความโดดเด่นมากใน 2 ด้าน ได้แก่ ความมุ่งมั่นของประเทศในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และ การเติบโตของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มี Sustainability Linked Bonds หรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการ ASEAN Startup Exchange ระหว่างลักเซมเบิร์กและอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพในแต่ละประเทศได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDPK International Service Center สามารถดูได้ที่ https://www.truedigitalpark.com/business-service