BAM เผยปี 67 ยังมีความท้าทายในการจัดเก็บ-ติดตามลูกหนี้ จากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ค่อยฟื้นตัว เตรียมปรับตัวแก้ปัญหาประนอมหนี้แบบยืดหยุ่น เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 ชูกลยุทธ์ทั้งการขยายธุรกิจ การดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างผลเรียกเก็บเข้าเป้า 20,000 ล้านบาท พร้อมเร่งขยายฐานสินทรัพย์เพิ่มอีก 70,000 ล้านบาท สร้างโอกาสทางธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ชี้ที่ผ่านมาสามารถช่วยลูกหนี้จนได้ข้อยุติจำนวน 154,178 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 479,650 ล้านบาท
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) หรือBAM (บสก.) เปิดเผยว่า ความท้าทายของการดำเนินงานในปี 2567 คือ การจัดเก็บและการตามลูกหนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยฟื้นตัว การส่งออกที่มีความผันผวน การบริโภคในประเทศที่เกิดการชะลอตัวขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ครัวเรือน ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งทำให้ BAM อาจจะเก็บหนี้ยากขึ้น ซึ่ง BAM จะแก้ปัญหาด้วยการช่วยลูกหนี้ในการให้คำปรึกษาเรื่องศักยภาพของลูกหนี้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเจรจาปรับโครงสร้าง และการประนอมหนี้ โดยในปีนี้จะประนอมหนี้แบบยืดหยุ่น เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย แม้ดอกเบี้ยจะเป็นเทรนด์ลดลง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอน
สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานปี 2567 นั้น BAM ได้กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างผลเรียกเก็บให้เป็นไปตามเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายระยะกลางในปี 2569 อยู่ที่ 23,300 ล้านบาท ขณะที่การขยายฐานสินทรัพย์มีเป้าหมายลงทุนซื้อคิดเป็นเงินต้นคงค้าง 70,000 ล้านบาท เพื่อรักษาขนาดสินทรัพย์และโอกาสทางธุรกิจของ BAM โดยปัจจุบัน BAM มี NPLs อยู่ที่ 473,636 ล้านบาท และมี NPAs อยู่ที่ 69,807 ล้านบาท ขณะเดียวกัน BAM สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้ข้อยุติจากการแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวน 154,187 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 479,650 ล้านบาท และสามารถจำหน่ายทรัพย์ไปแล้ว จำนวน 51,420 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 121,378 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่วางไว้ ประกอบไปด้วย การขยายธุรกิจ (Business Expansion) โดยใช้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ Clean Loan ด้วยการจัดกลุ่มลูกหนี้ Clean Loan ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่บริหารเอง กับกลุ่มที่ให้ทนายนอก/Collector บริหารจัดการ เพื่อลดเวลาในการติดตามหนี้ รวมทั้งการดำเนินโครงการกิจการค้าร่วม (Consortium) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 2-3 ราย ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ และเดิมเป็นที่ดินที่มีการพัฒนาไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ที่ดินแปลงย่อยที่เหลือยังไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ และผู้ประกอบการฯไม่ต้องการที่จะเสียดอกเบี้ยในราคาที่สูง BAM จึงจะมีการกำหนดเงื่อนไขใหม่ ในเบื้องต้น BAM จะคัดเลือกทรัพย์ประเภทโครงการ เพื่อกำหนดมาตรฐานเงื่อนไข รวมทั้งการกำหนดหน่วยงานขึ้นมาดูแลโครงการดังกล่าวต่อไป
ขณะที่การดำเนินธุรกิจใหม่ (New Business) วางแนวทางการร่วมทุนกับสถาบันการเงินซึ่ง BAM จะได้ค่าบริหารจัดการตามสัดส่วนที่มีข้อสรุปร่วมกัน การสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ด้วยการพัฒนาระบบด้านการสำรวจและประเมินราคาทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานดังกล่าว (แผนระยะกลาง) การพัฒนา Pricing Model ด้วยการลงทุนแบบ Selective เพื่อรับซื้อรับโอนสินทรัพย์ในราคาที่เหมาะสมและยังคงบทบาทหลักในการเป็นแก้มลิงเพื่อรองรับ NPL/NPA เพื่อช่วยพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยแผนการลดขั้นตอนและระยะเวลาในกระบวนการทางคดี กระบวนการประเมินราคาทรัพย์ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความยืดหยุ่น ตลอดจนการปรับปรุงระเบียบ/คำสั่งต่างๆ เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ BAM ยังได้เตรียมความพร้อมในการสร้างบุคลากรด้วยการพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับอนาคต Capability Development ด้วยการจัดทำแผนพัฒนา Successor & Talent และพัฒนา Core Capability อย่างไรก็ตาม BAM ยังตระหนักถึงการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ซึ่ง BAM ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน “SET ESG Ratings” 2 ปีซ้อน และมีผลการประเมินที่ระดับ “AA” สะท้อนให้เห็นว่า BAM ได้ยกระดับการดำเนินงานและการจัดทำรายงานความยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG รวมทั้ง BAM ยังมีการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งพร้อมรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับ ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล
นายพงศธร มณีพิมพ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายพัฒนาสินทรัพย์ภูมิภาค BAM กล่าวว่า BAM มีสำนักงานสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเครือข่ายสำนักงานภูมิภาคช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยพนักงานในสำนักงานสาขาส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ทำให้มีความเข้าใจสภาวะตลาดในพื้นที่นั้นๆ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ BAM ในการเจาะกลุ่มเป้าหมายการทำตลาดและยังทำให้สามารถประเมินราคาของทรัพย์สินในกระบวนการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งมีความสามารถที่จะปรับตัวตามสภาวะตลาดตามความเหมาะสม โดยอาจเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งสำนักงานสาขาและเปลี่ยนกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงการโยกย้ายพนักงานที่มีความรู้ความสามารถเพื่อปฏิบัติงานตามพื้นที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกับปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักงานสาขาเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ BAM ให้ประสบความสำเร็จ ช่วยให้สามารถติดตามและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายสารสนเทศและดิจิทัล BAM กล่าวว่า ปัจจุบัน BAM ได้เร่งสร้างระบบการให้บริการลูกค้าบน Online Platform โดยมีระบบการชำระเงิน และ E-TDR (การปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์) ด้วยการจัดทำ BAM Mobile Application ระบบจองทรัพย์/ชำระเงิน และระบบตรวจสอบภาระหนี้/ชำระหนี้ รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูล DATA Management Dashboard ด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลกลาง (DATA Center) เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลสำคัญขององค์กรและรายงานต่างๆ จากแหล่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการสร้างคลังข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อกลายเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Organization) และเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจสำหรับการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังได้นำระบบ Lead Management ที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าและกลุ่มลูกหนี้ของ BAM ที่ต้องการทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อนเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ให้ติดต่อหรือลงทะเบียนเข้ามา เพื่อสร้างโอกาสในการปิดการขาย หรือโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้เพิ่มขึ้น พร้อมกับเตรียมนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ลูกหนี้ ทำให้สามารถจำแนกลูกหนี้กลุ่มต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป
โดยความคืบหน้าของการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรสถาบันการเงิน รูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตรจะเป็นการถือหุ้น 50:50 ซึ่งจะทำให้การบริหารไม่ถูกครอบงำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และสามารถร่วมกันลงทุนได้ โดยไม่กระทบกับงบการเงินของ BAM และพันธมิตร รวมถึงการพิจารณานำทรัพย์เขามาเสนอขายบริษัทร่วมทุนอย่างรอบคอบ ซึ่งเกิดประโยชน์จากบริษัทอย่างไร ประกอบยังคงรอหลักเกณฑ์การดำเนินงานในกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว หากมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวคาดว่าจะมีความชัดเจนการร่วมทุนกับสถาบันการเงิน
ขณะที่งบลงทุนการซี้อหนี้ NPA และ NPLs ในปี 2567 วางไว้ 10,000 ล้านบาท โดยมองว่าในปี 2567 ยังมีโอกาสเข้าซื้อหนี้จากสถาบันการเงินได้ต่อเนื่อง เพราะสถาบันการเงินต่างๆยังมีความต้องการในการบริหารจัดการหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งประเมินว่าสถาบันการเงินยังมีหนี้ที่ยังไม่ถูกจัดชั้นราว 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสถาบันการเงินจะมีการพิจารณาทยอยขายหนี้ออกมาต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา BAM ได้เข้าไปยื่นประมูลหนี้กว่า 40,000 ล้านบาท