news-details
Business

“ไมเนอร์”เผยแผน 3 ปี ขยายธุรกิจรร.-อาหารทั่วโลก ทุ่มงบเดินหน้าปรับโฉม-รีแบรนด์ห้องพักใหม่ หวังขึ้นราคาอย่างมีนัย

ไมเนอร์ฯเผยแผน 3 ปี ตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมใหม่เพิ่ม 200 – 500 แห่ง และร้านอาหาร 1,000 สาขาทั่วโลก หวังหนี้สินต่อทุนลดเหลือ 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 67 คาด,ยังทำผลกำไร New high สถิติต่อเนื่อง 7,100 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว-ธุรกิจร้านอาหาร เชื่อปีมังกรทองการท่องเที่ยวยังโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้า Repositioning และ Rebranding อีก 28-30 แห่ง ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 50-60 ล้านยูโร หวังปรับราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า(ปี 2567-2569) ว่า บริษัทฯตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโดยเพิ่มโรงแรมใหม่ 200 – 500 แห่ง และร้านอาหาร 1,000 สาขา โดยมียอดรวมจำนวนโรงแรมอยู่ที่ 780 แห่ง และ ร้านอาหารอยู่ที่ 3,700 สาขา ความมุ่งมั่นนี้ได้รับการสนับสนุนจากโอกาสการเติบโตที่มากมายและการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model การทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมไปกับการใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด และการมุ่งเน้นในตลาดที่มีการเติบโตสูงนอกเหนือจากตลาดอื่น

โดยพัฒนาการที่ผ่านมาของ MINT เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ อาทิ การเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีสภายใต้ เอ็น เอช และ เอ็นเอช คอลเลคชั่น การเปิดตัวโรงแรมหรูภายใต้ อนันตรา ในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของ เอ็นเอช คอลเลคชั่น ในเฮลซิงกิ นอกจากนี้แผนการขยายโรงแรมที่แข็งแกร่งของ MINT ยังรวมการเปิดตัวของอนันตรา และ อวานี ในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมใหม่ในตลาดตะวันออกกลาง ที่ MINT มีการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีนหลายแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในส่วนของ ไมเนอร์ ฟู้ด นั้น ยังเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี นอกจากนี้ MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีน เพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย และเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ทั้งนี้แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน

 

เป้าหมาย 3 ปี (ปี 2567-2569) ข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไรแต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ให้เหลือ 4.3 เท่าจากปัจจุบันที่ 6 เท่า ภายใน 3 ปี ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าไนการลดหนี้สินต่อเนื่อง เพื่อทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงไปมาก ช่วยหนุนกำไรของบริษัท โดยในสิ้นปี 2567จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาที่ 0.8 เท่า จากปี 2566 ที่ 1 เท่า ซึ่งจะลดหนี้ในสิ้นปี 2567 ให้เหลือ 90,000 ล้านบาท จาก 100,000 ล้านบาท รวมถึงจะมีการขายสินทรัพย์บางรายการ และเช่ากลับมา ซึ่งจะทำให้หนี้สินลดลง และหนุนต่อมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น

“เป้าหมายในช่วง 3 ปี ตั้งเป้ามีรายได้เฉลี่ยเติบโต 8-10% ต่อปี และจะเพิ่มความกำไรเฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยที่จะต้องสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งตามแผน 3 ปี ของ MINT วางแผนจะเพิ่มจำนวนโรงแรมใหม่เป็น 780 แห่ง จากปัจจุบัน 532 แห่ง ซึ่งจะเน้นการขยายในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรม 90% จะมาจากโรงแรมในต่างประเทศ และ 10% จะมาจากโรงแรมในประเทศ และเพิ่มจำนวนร้ารอาหารเป็น 3,700 สาขา จากปัจจุบัน 2,600 สาขา ซึ่งจะมีสัดส่วนรายได้จากร้านอาหารในประเทศที่ 60% และร้านอาหารในต่างประเทศ 40% โดยวางงบลงทุนรวมใน 3 ปี อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในส่วนของธุรกิจ Lifestyle ได้ปรับโครงสร้างเข้าไปในธุรกิจโรงแรมแล้ว ทำให้ไม่ได้มีการแยกสัดส่วนสำ

สำหรับในปี 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าในการขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2566  ซึ่งคาดว่าแนวโน้มของกำไรในปี 2567 จะยังสามารถทำ New high ต่อเนื่องจากปีก่อนได้ โดยที่บริษัทสามารถมีกำไรจากการดำเนินงานเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ที่ 7,100 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และธุรกิจร้านอาหาร หลังจากคนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากที่โควิด-19 คลี่คลาย

ภาพรวมของปี 2567 มองว่าสิ่งที่ MINT ยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนยอดใช้จ่ายต่อหัวของลูกค้า (Spending) ให้เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และความสามารถในการทำกำไรควบคู่กัน นอกเหนือจากการที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นกลับมา โดยที่ในปี 2567 มองว่าภาคการท่องเที่ยวยังคงเห็นความคึกคักทั้งในไทยที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในปี 2567 รวมกว่า 35 ล้านคน จากปีก่อนที่ 20 กว่าล้านคน และยังเห็นนักท่องเที่ยวในยุโรปยังมีเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ MINT ให้ความสำคัญ คือ การทำให้นักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายกันมากอยู่แล้ว ทำอย่างไรจะใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น ทั้งในโรงแรทและร้านอาหาร เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจในกลุ่ม

ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทฯมั่นใจว่าธุรกิจโรงแรม ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคม และรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม 2567 ในประเทศไทยสูงกว่าปีก่อน 39% ซึ่งมาจากฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย และแรงหนุนจากในช่วงเทศกาลตรุษจีน ขณะที่รายได้จากห้องพักของโรงแรมในยุโรปเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน จากการที่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมาอุณภูมิในยุโรปไม่ได้หนาวมา และมีอากาศอุ่นขึ้น ทำให้การท่องเที่ไวในยุโรปยังมีความคึกคัก และคาดว่าจะเห็นการเติบโตที่สูงขึ้นต่อเนื่องของโรงแรมในยุโรปในช่วง Summer ซึ่งเป็น High Season ของยุโรปด้วยเช่นกัน

ขณะที่กลยุทธของธุรกิจโรงแรมจะมีการ Repositioning และ Rebranding ตามแผนการทำให้ MINT มีสัดส่วนของ Asset light มากขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปที่จะมีการยกระดับแบรนด์ให้สูงขึ้น ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ Repositioning และ Rebranding โรงแรมไปแล้ว 50 แห่ง ส่วนปี 2567 จะมีอีก 28-30 แห่ง ซึ่งใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ประมาณ 50-60 ล้านยูโร ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวันของโรงแรมให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้สัดส่วนของ Asset light เพิ่มขึ้นเป็น 40% ใน 3 ปี ได้ตามเป้าหมาย จากปัจจุบันอยู่ที่ 18%

ด้านงบลงทุนรวมของ MINT ในปี 2567 วางไว้ที่ 10,000-13,000 ล้านบาท โดยที่จะใช้กับธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก โดยเฉพาะการขยายและปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปที่จะมีการปรับปรุงเพื่อ Up scale เป็นจำนวนมาก ส่วนธุรกิจร้านอาหารยังคงมีการขยานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในต่างประเทศที่จะขยายแบรนด์ Sizzler, The Coffee Club, The Pizza Company ในเวียดนาม และสิงคโปร์ รวมถึงการขยายสาขาใหม่ของ Dairy Queen ในประเทศอินโดนีเซีย ที่จะเพิ่มลาขาเป็น 10 เท่า ใน 3 ปี จากปัจจุบัน 12 สาขา รวมถึงการนำแบรนด์ GAGA ไปเปิดในอินโดนีเซีย ซึ่งจะหนุนต่อการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มประเทศอาเซียน และการปรับปรุงแบรนด์ Swensens ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งทั้งแบรนด์ Dairy Queen และ Swensens เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในกลุ่มร้านอาหาร ประกอบกับการมองหาโอกาสในตลาดใหม่ในอินเดียที่มีจำนวนประชากรเยอะและมีศักยภาพในการเติบโต

ส่วนแนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2567 ยังมี Momentum ที่ดีต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่สามารถทำได้ตามเป้าที่บริษัทวางไว้ และยังคาดหวังผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567  ที่จะยังมี Momentum ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2567  จากการที่ไตรมาส 2/2567  เป็นช่วงฤดูร้อนของไทย และมีเทศกาลที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะสงกรานต์ ที่ยังหนุนธุรกิจโรงแรมก่อนเข้าช่วง Low season ส่วนธุรกิจร้านอาหารยังสามารถสร้างยอดขายที่แข็งแกร่งต่อเนื่องจากปลายปี 2566 มาถึงไตรมาล 1/2567  และไตรมาส 2/2567  ซึ่งบริษัทยังคงทำแคมเปญในร้านอาหารแบรนด์ต่างๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดต่อเนื่อง ทำให้ร้านอาหารในเครือของ MINT รายได้และกำไรดีขึ้น

You can share this post!