กลุ่ม “มโนธรรมรักษา”ปลื้มหลังขยายฐานปักหมุดสร้างอาณาจักร เป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่ทำเลหาดในทอน จ.ภูเก็ต บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ นำร่องผนึกกลุ่มทุนจีนผุดคอนโดฯ โลว์ไรส์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” พร้อมดึงเชน WYNDHAM เข้าบริหาร สร้างความเชื่อมั่น ผลเศรษฐีรัสเซียแห่ซื้อเพียบ ผลตอบแทนการลงทุนจูงใจ ระบุตลาดอสังหาฯภูเก็ตต้องพึ่งพาและได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ จึงไปรอด ตั้งเป้าปั้นเป็น “มินิลากูนา” จุดหมายปลายทางนักลงทุน-ท่องเที่ยวในอนาคต กางแผน 2 ปี เตรียมผุดวิลล่า-คอนโดฯ มูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท มั่นใจทุกโครงการออกแบบ-ใช้วัสดุคุณภาพ-ก่อสร้างได้มาตรฐาน รองรับแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด
พูดถึงกลุ่ม “มโนธรรมรักษา” หากเป็นกลุ่มคนในแวดวงอสังหาฯริมทรัพย์รุ่นเก่าเกิน 30 ปี จะต้องรู้จัก “ทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา”ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในการพัฒนาโครงการอสังหาฯริมทรัพย์มาหลายสิบปี และเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่มองเห็นศักยภาพของที่ดินแต่ละทำเล แต่ละแปลง ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมากลุ่ม“มโนธรรมรักษา”มีการพัฒนาโครงการในย่านกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มาแล้วมากหมายหลายสิบโครงการ จากหลายบริษัทในเครือ รวมไปถึงการให้ทายาทแยกตัวแตกบริษัทใหม่ๆออกไปพัฒนาโครงการเองอย่างต่อเนื่อง โดยที่ “ทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา”ก็ยังเป็นกุนซือสำคัญในการเลือกที่ดินและพัฒนาโครงการ
โดยในช่วงก่อนเหตุการณ์สึนามิ 26 ธันวาคม 2567 ตระกูล “มโนธรรมรักษา” ได้มองเห็นกาลไกล ด้วยการเข้าไปซื้อที่ดินสะสมบริเวณย่านในทอน จ.ภูเก็ต โดยส่งทายาทคนโต คือ “วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา” ซึ่งสั่งสมประสบการณ์การพัฒนาโครงการร่วมกับผู้เป็นบิดามาช้านาน เข้าไปสร้างอาณาจักรและพัฒนาโครงการอสังหาฯ ภายใต้บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเขตภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการค่อยๆพัฒนาและเปิดขายแบบเงียบๆ ไม่ออกข่าวใหญ่โตแบบผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้ามาบุกตลาดภูเก็ต แต่ก็ได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ในพื้นที่ และลูกค้าทั้งชาวไทย-ต่างชาติ โดยเฉพาะเศรษฐีรัสเซีย ได้เป็นอย่างดี จึงมีการซื้อที่ดินต่อยอดธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง
จับตาทำเล “ในทอน”อนาคต “ดาวรุ่ง”ดวงใหม่อสังหาฯภูเก็ต
นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด เปิดเผย ถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดภูเก็ต ว่า จากข้อมูลของ แผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย)จำกัด พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2568 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ภูเก็ต มีโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่มากกว่า 45 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 49,160 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม ในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 8,000 -10,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง โดยทำเลย่านในทอน ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าในช่วงก่อนหน้ามีโครงการบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี่เปิดขายที่ระดับราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งปัจจุบันอุปทานเหล่านี้ถูกซื้อขายจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบนเป็นที่เรียบร้อยทุกยูนิต และทำเลแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกลุ่มของคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติและไม่หนาแน่นจนเกินไป หนึ่งในจุดเด่นของย่านในทอนคือ ยังไม่มีการแข่งขันด้านอสังหาฯสูงมากนัก โดยพบว่าปัจจุบันในพื้นที่ย่านในทอนมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 2 โครงการ 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.18 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด และสำหรับบ้านพักตากอากาศพบว่า ปัจจุบันมีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 6 โครงการ 113 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.75 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าน้อยเป็นอย่างมาก ทำให้ตลาดในพื้นที่นี้มีความน่าสนใจในด้านโอกาสการเติบโตในอนาคต รวมถึงความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระยะกลางและระยะยาว
อีกทั้งย่านในทอนยังมีความได้เปรียบในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เป็นธรรมชาติ และเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบพักผ่อนหรือการพัฒนาเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม ใกล้กับสนามบินนานาชาติภูเก็ตและอยู่ไม่ไกลจากแหล่งอำนวยความสะดวกสำคัญเช่น สนามกอล์ฟหรู โรงแรมระดับห้าดาว และร้านอาหารชั้นนำ จากแนวโน้มดังกล่าว ย่านในทอนจึงถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็น "ดาวรุ่ง" ดวงใหม่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ที่สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการปล่อยเช่าหรือเพิ่มมูลค่าในอนาคต
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวรัสเซียที่หนีภัยสงครามเข้ามาหาซื้อพูลวิลล่าในภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากยุโรป สแกนดิเนียเวีย รัสเซีย จีน และอินเดียที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือที่อยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบLeasehold (เช่าระยะยาว 30 ปี) เป็นที่นิยมในกลุ่มนี้
ส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย บางรายอาจซื้อเพื่อการลงทุนหรือปล่อยเช่าในระยะยาว โดยรวมแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านในทอนยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่เงียบสงบและมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต
ส่วนราคาที่ดินย่านในทอน พบว่าที่ดินพื้นที่เชิงเขา ที่ดินมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 15-30 ล้านบาทต่อไร่ สำหรับที่ดินใกล้ชายหาดจะมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 25-50 ล้านบาทต่อไร่
แลนด์ลอร์ดใหญ่สุด-เอเยนต์ให้การยอมรับ
นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันตลาดอสังหาฯภูเก็ตจะมีการแข่งขันที่ดุเดือด จากการที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดกันมาก แต่ตนมองว่าไม่มีผลกระทบ เพราะทางคุณพ่อของตน คือ “นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา” ได้เห็นศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จึงได้เข้ามาซื้อที่ดินย่านหาดในทอน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งที่ดินที่ซื้อเองและเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี จนถึงปัจจุบันมีรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ไร่ ทั้งนี้เพื่อเก็บเป็น ASSET PROPERTY ของครอบครัว ถือว่าเป็นแลนด์ลอร์ดที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในย่านหาดในทอน และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐีรัสซีย และการได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในภูเก็ต เพราะหลักการทำงานเอเยนต์ในภูเก็ต จะไม่สนใจในแบรนด์เล็ก หรือใหญ่ แต่สนใจในเรื่อง Profile ,สินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถการันตีผลตอบแทนการลงทุนให้ลูกค้าได้เป็นที่น่าพอใจ เพราะภาพรวมการขายอสังหาฯในจ.ภูเก็ต นั้น คือต้องพึ่งพาช่องทางการตลาดขายผ่านเอเยนต์ มากถึง 70% และบริษัทฯก็ประสบความสำเร็จในเรื่องดังกล่าว มีลูกค้าเข้าซื้อและใช้บริการโครงการอย่างต่อเนื่อง
ผนึกพันธมิตรจีน มีสนง.ใหญ่ในสิงคโปร์ ผุด“ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน”
โดยโครงการแรกที่พัฒนาในปี 2562 คือ อาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น บริเวณด้านหน้าถนนติดชายหาดในทอน จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ๆละ 7-8 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายเช่าระยะยาว 30 ปี ในราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ปรับแผนการพัฒนาใหม่ โดยปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างในแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่างๆ ราคาประมาณ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 74 ห้อง ราคา 1,500-4,500 บาท/คืน แล้วแต่ช่วงฤดูกาล
และในปี 2562 ต่อเนื่อง 2563 ได้นำที่ดินประมาณ 12 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนอสังหาฯจีน Bestart International Holdings มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้แบรนด์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” (Seaheaven Phuket Naithon) แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส มูลค่าโครงการรวมว 1,500 ล้านบาท เน้นในรูปแบบของการขายเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี โดยเฟสแรก มีจำนวน 1 อาคาร สูง 5 ชั้น ขนาด 37-70 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต ระดับราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป (ปัจจุบันราคาขายปรับขึ้นเป็นเริ่มต้นที่ 5-6 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต) ปัจจุบันปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเฟส 2 เปิดการขายเมื่อปี 2566 เป็นคอนโดฯสูง 5 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.5 ล้านบาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นที่ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป(ปัจจุบันปรับขึ้นไปที่เริ่มต้น 170,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป) ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 72%
ดึง เชน “WYNDHAM” เข้าบริหาร การรันตีผลตอบแทนการลงทุน 7% ใน 6 ปีแรก
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า บริษัทฯจึงได้ดึงเชนโรงแรมแบรนด์ WYNDHAM เข้ามาบริหารโครงการด้วย โดยการันตีผลตอบแทนการลงทุนที่ 7% ต่อปี หลังนั้นในปีที่ 6 เป็นต้นไปก็จะแบ่งผลประกอบการจากการปล่อยเช่าห้องพัก ในสัดส่วน 30:70 โดยลูกค้าที่เป็นเจ้าของห้องพัก จะสามารถเข้าพักในช่วงไฮซีซันได้ 10 วัน/ปี และช่วงโลว์ซีซัน ได้ 20 วัน/ปี ซึ่งลูกค้าที่ซื้อและมาเช่าพักส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเศรษฐีรัสเซีย ที่มากันเป็นครอบครัว และมีความต้องการความเป็นส่วนตัวสูง โดยในช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่ 15 วัน สามารถปล่อยเช่าได้ในเรท 70,000 บาท/เดือน สำหรับคอนโดฯในเฟสที่ 2 จะเริ่มทยอยโอนได้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้
และเมื่อปลายปี 2566 ได้ขยายฐานการพัฒนาเอง 100% ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เมอริส จำกัด ด้วยการนำที่ดิน 3 ไร่เศษ จากทั้งหมด 80 ไร่ มาพัฒนาวิลล่า แบรนด์ “ภูวิสต้า วิลล่า” ขนาด 70-160 ตารางวา ราคาขาย 32-72 ล้านบาท จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย,โปแลนด์ และมีคนไทยซื้อเพียง 2 ยูนิตเท่านั้น
เดินหน้าร่วมทุนคอนโดฯโลว์ไรส์เฟส 3 ต่อเนื่อง มูลค่า 1,400 ล้านบาท
ล่าสุดได้นำที่ดินอีก 4 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ อีก 2 อาคาร ภายใต้แบรนด์ “Seaheaven” เฟส 3 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนจีนเช่นเดิม แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยเฟสแรกเป็นคอนโดฯ สูง 7ชั้น จำนวน 1 อาคาร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 30-70 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 3.9-8 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 108 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 69%
ส่วนเฟสที่ 2 จะพัฒนาเป็นคอนโดฯอีก 1 อาคาร จำนวน 115 ยูนิต โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนตุลาคม หรือ พฤศจิกายน 2568 นี้ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
คาดอาณาจักร 80 ไร่ ใช้เวลาพัฒนา 5 ปีขึ้นไป
“ถ้าพูดถึงภูเก็ตแล้ว โครงการที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากที่สุดคือ ลากูน่า ภูเก็ต ซึ่งอยู่ในย่านบางเทา ถือเป็นลักชัวรีอสังหาฯในภูเก็ต และตั้งเป้าหมายที่จะให้อาณาจักรของ ‘บีสตาร์ เฮฟเว่น’กลายเป็น ‘มินิลากูนา’ในอนาคต ที่ลูกค้าสามารถเข้าใช้ทุกอย่างภายในโครงการได้ครบวงจร โดยคาดว่าที่ดินทั้ง 80 ไร่นี้ จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนามากกว่า 5 ปีขึ้นไป ซึ่งข้อดีของเราคือไม่ได้เลือกพัฒนาในทำเล Red Ocean ดังนั้นการเลือกทำเลที่จะพัฒนาถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” นายวีระวิทย์ กล่าว
กางแผน 2 ปี จ่อผุดวิลล่า-คอนโดฯมิกซ์ยูส
นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนในระยะเวลา 2 ปีนี้ (2568-2569) มีแผนจะพัฒนาโครงการเองโดยไม่ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร จำนวน 2 โครงการ โดยในปี 2568 นี้จะเป็นการพัฒนาโครงการ “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” ตั้งอยู่บริเวณหาดในยาง บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ ห่างจากสนามบินภูเก็ต เพียง 5 นาที ในรูปแบบของวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 60-100 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 15-35 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้
และปี 2569 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส บนแลนด์แบงก์ย่านหาดในทอน จากทั้งหมด 80 ไร่ โดยเริ่มจากการเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) สูง 7 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.5-6 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท
มั่นใจศักยภาพทำเลปลอดภัยสึนามิ-งานก่อสร้างรองรับแผ่นดินไหว
และจากการที่มีผู้ทำนายว่า ภูเก็ต เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงจะเกิดสึนามิ และแผ่นดินไหวอีกนั้น มองว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่ผ่านมานั้น บริเวณย่านหาดในทอนนั้นแทบไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากที่ตั้งจะถูกบดบังไว้ด้วยภูเขาทั้ง 2 ด้าน ทำให้ตัวหาดเหมือนอยู่ด้านใน และในส่วนของบริษัทเอง ขณะนั้นซื้อที่ดินไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการแต่อย่างใด จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ประกอบกับที่ผ่านมาทางองค์การบริหารส่วนตำบลสาคู และอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้มีการเตรียมรับมือด้านมาตรการป้องกันมานานแล้ว ทั้งในเรื่องสัญญาณเตือนภัย และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการรับมือจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น มั่นใจว่าโครงการของบริษัทที่พัฒนาขึ้นมานั้น ออกแบบและก่อสร้างได้ถูกต้องตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำนด ซึ่งสามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด จึงไม่ค่อยมีความกังวลแต่อย่างใด ประกอบกับทุกอาคารที่พัฒนาไม่มีความสูงมาก และวัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็มีคุณภาพและได้มาตรฐาน อีกทั้งงานก่อสร้างทางบริษัทก็เป็นผู้ควบคุมเองทั้งหมด ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรจากจีนจะเพียงแค่นำเม็ดเงินมาร่วมลงทุนให้เท่านั้น แต่การบริหารจัดการทางกลุ่มผู้บริหารคนไทยจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งทางครอบครัวก็มีประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาฯมาช้านานหลายสิบปี ดังนั้นลูกค้าจึงมั่นใจในโครงการที่พัฒนาได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทฯอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ด้วยประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมานั้น สามารถการันตีฝีมือของ “วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา” ได้เป็นอย่างดี