เซ็นทรัล รีเทลฯเผยมาตรการภาครัฐ Easy e-Receipt ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อสูง ส่งผลยอดขายไตรมาส1/67 โตกระฉูดแนะรัฐทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บ VAT ซื้อสินค้าออนไลน์ไม่เกิน 1,500 บาท/รายการ ช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย ป้องกันสินค้าจีนทะลัก พร้อมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดึง AI ผนวก HI เสริมประสิทธิภาพ ภายใต้ 5 กลยุทธ์หลักเปิดแผนปี 67 รุกขยาย 4 กลุ่มธุรกิจ ดันรายได้โต 9-11% EBITDA โต 15-17% และใช้งบลงทุน 22,000-24,000 ล้านบาท
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่ออกมา คือ โครงการ Easy e-Receipt ซึ่งในส่วนของลูกค้าที่เข้ามาใช้จับจ่ายใช้สอยในสาขาต่างของ CRC เห็น Transaction ในการขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก สะท้อนภาพความคึกคักของการจับจ่ายใช้สอยในช่วงต้นปีจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะการที่สามารถช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงให้ออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งถือเป็นวิธีที่ภาครัฐสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีโดยที่ใช้เงินในการสนับสนุนน้อย และปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนที่ส่งผลต่อยอดขายและผลงานของ CRC ที่เติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/2567
อย่างไรก็ตามมองว่าภาครัฐยังสามารถมีมาตรการกระตุ้นและดึงกำลังซื้อของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงออกมาอีกได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และธุรกิจค้าปลีกไทย รวมถึงการหาแนวทางในการทำให้ยอดการใช้จ่ายต่อหัว (Spending) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการที่แก้กฎหมายเกี่ยวกับการคิดภาษีบางประเภท ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง หรือการให้เขตพื้นที่พิเศษปลอดภาษี เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาซื้อสินค้าเมื่อมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเน้นแค่ใช้จ่ายในที่พักและร้านอาหารเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ค่อยซื้อสินค้า เนื่องจากสินค้าที่ขายในไทยราคาสูงไป
ขณะเดียวกันยังสนับสนุนแนวความคิดของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย มีการทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้งการออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-Circumvention : AC) มาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยทุกระดับสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ หลังจากปัจจุบันเผชิญกับสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้ามาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆเป็นจำนวนมาก
สำหรับในส่วนของบริษัทฯรุกสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับกระแส Disruption ทั้งจากเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค การเข้ามาของ Generative AI และ Climate Crisis แต่ด้วยอีโคซิสเต็มของเซ็นทรัล รีเทล ที่สมบูรณ์แบบ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ มีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากการบริหารต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเป็นองค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนแห่งเอเชีย โดยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ DJSI และได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ประจำปี 2566 ในระดับ "AAA" ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดของไทย จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ประสบผลสำเร็จและสามารถครองความเป็นผู้นำในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยในปี 2567 นี้ เซ็นทรัล รีเทล ได้วางกลยุทธ์บนคอนเซ็ปต์ของ Leading Excellence and Advancing Sustainability คือ การบริหารธุรกิจทุกกลุ่มของเซ็นทรัล รีเทล ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ด้วยผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม (Excellence Performance) ในทุกมิติ รวมทั้งมีการวางกลยุทธ์เรื่องการสร้างความยั่งยืน ให้เข้มข้นไปอีกขั้น (Advance Sustainability)
"เซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าสู่ The Next Era ด้วยวิสัยทัศน์ CRC OMNI-Intelligence โดยการนำ AI เข้าไปในทุกกระบวนการของการทำธุรกิจ อาทิ การสร้าง Next-Gen Omnichannel ที่ผนวกแพลตฟอร์ม Offline และ Online เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค อีกทั้งยังขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ และมีการ Integrate AI ให้เข้ากับ HI (Human Intelligence) เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมือนมี Expertise at your fingertip รวมถึงการสร้าง Impact ที่มุ่งเน้นทั้งด้าน Profit และ Planet ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน"นายญนน์ กล่าว
โดย CRC OMNI-Intelligence ประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ (5R) ดังต่อไปนี้
1.Revolutionise Core Strength คือ การยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักใน Multi-Format, Multi-Category และ Multi-Market โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการยกระดับเรื่อง Synergy และการทำ M&A เพื่อเพิ่ม Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจ
2.Reinforce Financial Resilience คือ การทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงิน บนหลักการบริหาร 3C (Cash, Cost, Capex)
3.Reinvent Beyond Retail คือ การต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก เช่น การเข้าไปเป็นส่วนสำคัญใน Community ต่างๆ ในแต่ละ Category เพื่อสร้าง Network และ Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงการขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้า Scale up อย่างต่อเนื่อง
4.Reimagine Human Capital คือ การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ด้วยการรวมIntelligence ของ AI และ HI เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มออมนิแชแนลแบบทวีคูณ
5.Rally Green Impact คือ การยกระดับการทำ Green Transition ด้วยการผนึกกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ มาร่วมมือกันแก้ปัญหา Climate Change เพื่อไม่ให้ไปสู่ Climate Crisis โดยการลดการใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียว เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง
จากวิสัยทัศน์ CRC OMNI-Intelligence ที่เซ็นทรัล รีเทล วางไว้ ได้ถูกต่อยอดมาเป็นแผนงานปี 2567 ที่มีเป้าหมายผลประกอบการ คือ รายได้เติบโต 9-11% กำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA)เติบโต 15-17% และใช้งบลงทุน 22,000-24,000 ล้านบาท โดยมีแผนการดำเนินงานในปี 2567 ดังนี้
1.กลุ่มแฟชั่น : การพัฒนาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แฟล็กชิปสโตร์ สาขาชิดลม สู่การเป็น World Class Luxury Destination รวมถึงการขยายสาขาเพิ่ม 2 แห่ง พร้อมรีโนเวทและอัพเกรดห้างอีก 4 แห่ง ตลอดจนมีแผนเพิ่มแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และนำแบรนด์ในไทยขยายไปยังเวียดนาม
2.กลุ่มฟู้ด : เดินหน้าขยาย GO Wholesale อีก 7 สาขา เพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่ The New Choice For All สำหรับผู้ประกอบการทุกคน พร้อมตั้งเป้าขยายรวม 40 สาขา ภายใน 5 ปี และก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 Omni B2B ในกลุ่ม HoReCa นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขา Tops รวม 10 สาขาในไทย สำหรับประเทศเวียดนาม มีแผนเปิด ไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! 3 สาขา และ go! (มินิ โก!) อีก 9 สาขา ซึ่งถือเป็น Proven Format ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
3.กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เดินหน้าขยายสาขาไทวัสดุ 9 สาขา พร้อมรีโนเวทอีก 4 สาขา และได้ทรานส์ฟอร์มเหงียนคิมในเวียดนามให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
4.กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ มีการพัฒนาและปรับปรุงสาขาอย่างต่อเนื่อง ส่วนศูนย์การค้า GO! ในเวียดนาม มีแผนขยายอีก 3 สาขา โดยตั้งเป้าปิดปี 2567 ด้วยจำนวน 42 สาขา ครอบคลุม 42 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ
นอกเหนือจากการสร้างความเป็นเลิศทางธุรกิจ เรื่องความยั่งยืนก็เป็นอีกหนึ่งแกนหลักที่เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยในปีนี้เราจะต่อยอดเรื่องความยั่งยืนไปอีกขั้น ผ่านการดำเนินงานบนปรัชญา CRC Care ที่พร้อมผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า และดูแลทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันแบบ 360 องศา อาทิ การยกระดับเมืองรอง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจไทย, การยกระดับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการที่เราทำอย่างต่อเนื่อง, การยกระดับความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ และซัพพลายเออร์ เพื่อมาร่วมมือกันสร้างความยั่งยืนตลอดอีโคซิสเต็ม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ หัวใจสำคัญที่ตอกย้ำ Brand Purpose ของเซ็นทรัล รีเทล ที่จะเป็น Central To Life ศูนย์กลางชีวิตของทุกคนตลอดไป” นายญนน์ กล่าวในที่สุด