news-details
Business

“พฤกษา”กางแผนปีมังกร ผุด 30 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 29,000 ล้านบาท ตั้งเป้า 5 ปี สัดส่วนรายได้ธุรกิจประจำพุ่งระดับ 25%

พฤกษาฯเปิดแผนปีมังกรผุด 30 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 29,000 ล้านบาท เน้นกลุ่มราคา 15-30 ล้านบาท สัดส่วน 96% พร้อมนำทาวน์เฮาส์ ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาททำตลาดอีกรอบ มั่นใจสกรีน Reject Rate ในระดับแล้ว ด้านแผนร่วมทุนกลุ่ม ORI นำร่องบ้านเดี่ยวทำเลบางบอน ราคาประมาณ 15 ล้านบาท(+-) มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท คาดเปิดตัวปลายปีนี้ ตั้งเป้ารายได้รวมปี 67 แตะ 28,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายทะยาน 27,000 ล้านบาท ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ ระบุแนวโน้มมีผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพใช้บริการเพิ่มมากขึ้นถึง 76% ทั้งขยายบริการรองรับฐานลูกค้าต่างชาติ กลุ่มออสเตรเลียและกลุ่มประเทศจากตะวันออกกลาง ตั้งเป้า 5 ปี รายได้ธุรกิจประจำเพิ่ม 25%

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2567 ว่าบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสจากปัจจัยบวกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการกระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยการใช้มาตรการวีซ่าฟรีสาหรับนักท่องเที่ยวจีน อินเดีย คาซัคสถาน และไต้หวัน การต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับบ้านหลังละไม่เกิน 3 ล้านบาท และแนวโน้มที่ตลาดบ้านเดี่ยว ระดับราคา 10–30 ล้านบาท จะยังคงเป็นที่สนใจของตลาดอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงได้สนับสนุนการสร้าง Champion Brand โดยมีแบรนด์ “เดอะ คอนเนค” จากกลุ่มทาวน์เฮาส์ ,แบรน์ “เดอะ ปาล์ม” จากกลุ่มบ้านเดี่ยว และ “แชปเตอร์” จากกลุ่มคอนโดมิเนียม เน้นการสร้างจุดยืนที่ชัดเจนเพื่อการปรับระดับโครงการของพฤกษาในอนาคตให้มีมูลค่าสูงขึ้น

สำหรับทิศทางในปี 2567 นี้ บริษัทฯมุ่งเพิ่มสัดส่วนในสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50% โดยคาดว่าจากปี 2562 ที่มีสัดส่วนสินค้ากลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จากประมาณ 70% ในปีนี้ ได้วางแผนปรับลดให้เหลือประมาณ 40% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ “บ้านกรีนเฮาส์” เพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการนำเทคโนโลยีและการออกแบก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ให้ลูกค้าสามารถผ่อนกับธนาคารได้ เพื่อให้สอดกับดีมานด์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ในช่วงปีที่ผ่านมาทางกลุ่มก็ได้มีการปรับโครงสร้าง และโมเดลธุรกิจหลายอย่าง ได้นำบริการด้านสุขภาพจากเครือวิมุต ผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHuas นำเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งของธุรกิจหลัก  ด้วยการแยกกลุ่มธุรกิจ ออกมาอีก  4 แกน ได้แก่ 

1.ธุรกิจเฮลท์แคร์รอบคลุมบริการทางสุขภาพตั้งแต่โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีการสร้างความร่วมมือ และการลงทุนใหม่ ๆ เช่น การลงทุน เข้าถือหุ้น 25% ในบริษัท เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป เตรียมขยายการบริการเนอร์สซิ่งโฮม ตั้งเป้าขยาย 600 เตียงภายใน 3 ปี กลุ่มยังมีแผนลงทุน 3,500 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลเฉพาะทางที่สุขุมวิท ขยายเตียงที่โรงพยาบาลวิมุตเป็น 150 เตียง พร้อมเติบโตสู่เป้า 2,300 ล้านบาทในปี 2567

2.ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ภายใต้การดำเนินงานของ  บริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด ในเครือพฤกษา ตั้งเป้าโต 5 เท่าตัว ในปี 2567 และหวังสร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี จะนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล ด้วยระบบ IOT (Security & Smart Home) ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลได้ทั้งบ้านด้วยแอปพลิเคชันเดียว, Visitor Management ระบบคัดครองผู้มาเยือน, Facility Booking ระบบจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในโครงการ, Repair Management ระบบแจ้งซ่อมแซมบ้าน เพื่อให้สำนักงานนิติบุคคลติดต่อนัดเวลาช่างเข้าซ่อมอย่างมีระเบียบ รวมไปถึงระบบ Community ที่จะสร้างพื้นที่ให้ลูกบ้านสื่อสารกันได้ ซึ่งได้เตรียมพร้อมที่จะรองรับ การให้บริการแก่ลูกค้าจากกลุ่มเรียลเอสตทของพฤกษา ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Clickzy.com (คลิกซิ) ที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้เลือกช้อปสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน บริการตกแต่งภายในจาก Zdecor และสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ 

3.กลุ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ที่แยกออกมาเพื่อรองรับการเติบโต เปิดโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจพรีคาสท์ จากความประสบความสำเร็จจากการแลกหุ้น ร่วมกับ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ “อินโน พรีคาสท์” เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ทำยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) ทั้งจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่น ๆ สูงขึ้นทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สู่ผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในไทย ตั้งเป้ารายได้โต 50% สู่ 3,500 ล้านบาท ในปี 2567 และกลุ่มก็ได้มี การแยกหน่วยงาน ธุรกิจรับก่อสร้าง สำหรับอาคารที่พักอาศัย ออกมาเป็นบริษัทใหม่ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นการปรับองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นและสามารถรองรับการขยายโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้จากการรับก่อสร้าง ตั้งเป้าปี 2567 จะสร้างรายได้ 5,600 ล้านบาท จากพฤกษาและลูกค้ารายอื่นนอกจากกลุ่ม มุ่งสู่ความเป็นบริษัทรับก่อสร้างบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในไทย 

4.การลงทุนเพื่อรองรับการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ ขยายการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ และ อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ จากประกาศความร่วมมือกับ 2 องค์กรชั้นนำจากสิงคโปร์และไต้หวัน  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้าให้บริการครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลงทุนในกองทุน CapitalLand Wellness Fund ( C-Well) มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 72,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ  

“ด้วยการรีโมเดลธุรกิจ และโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2567 นี้ เราเชื่อว่าพฤกษา โฮลดิ้งพร้อมด้วยกลุ่มบริษัทในเครือทั้งหมด  มีความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติการ และ ความพร้อมทางการเงิน ที่จะเดินหน้าสู่ทิศทางแห่งการเติบโตอย่างก้าวไกลไปอีกขั้น ตามกลยุทธ์ Ready To Thrive” นายอุเทน กล่าว

ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้ได้แก่

1.ประโยชน์จากการจัดซื้อจ้างในครั้งละจำนวนมาก การขนส่ง และการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้โครงการ

2.เพิ่มโอกาสในการขายข้ามกลุ่มสินค้า (Cross-Selling) รองรับความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต

3.สร้างรายได้เพิ่มเติม จากสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลาย ตั้งเป้าในอนาคต เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ(Recurring Income) เป็น 25% ภายในระยะเวลา 5 ปี  โดยผสานประโยชน์จากทุกแพลตฟอร์มเพื่อรังสรรค์การอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้  ทั้งนี้ในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มรวม 28,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำรายได้รวมได้ 26,132 ล้านบาท พร้อมวางเป้ายอดขายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในปี 2567 ไว้ที่ 27,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 25,500 ล้านบาท

ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.27 เท่าและจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ก็ได้อนุมัติจะนำเสนอผู้ถือหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 มีนาคม 2567โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายน 2567 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.5% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 นี้  

 

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทฯได้างแผนเปิดตัวใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมด 29,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดตัวมากกว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ที่ได้ประกาศไว้ว่าจะเปิดตัว 17 โครงการ มูลค่าประมาณ 19,000 ล้านบาท แต่สามารถเปิดได้ 13 โครงการ รวมมูลค่า 14,200 ล้านบาท โดยเป็นการชะลอทาวน์เฮาส์ ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพื่อมาเปิดตัวใหม่ในปี 2567 นี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาดีมานด์มีความอ่อนไหวและเปราะบางในเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยรูปแบบบ้านอาจจะปรับให้เป็นระดับ 3-5 ล้านบาท หรืออาจจะเป็นบ้านกรีนเฮาส์ คือขออนุญาตก่อสร้างในรูปแบบของคอนโดฯ 2 ชั้น แต่ออกแบบให้เหมือนทาวน์เฮาส์ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“ในปีนี้เราจะสร้างความสมดุลให้พอร์ตโฟลิโอ จากการเปิดโครงการใหม่ โดย 50% เป็นกลุ่มสินค้าพรีเมียม จากทั้งหมด 30 โครงการใหม่ แบ่งเป็นกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท 7 โครงการ มูลค่า 11,8000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8% ,กลุ่มราคา 15-30 ล้านบาท 10 โครงการ มูลค่า 13,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 96% ,กลุ่มระดับราคา 2-4 ล้านบาท จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20%  โดยเรามั่นใจในเรื่อง Reject Rate ว่าจะไม่มีตัวเลขที่สูง เพราะเราจะมีสกรีนในระดับหนึ่งแล้วก่อนที่จะถึงแบงก์ โดยปัจจุบันมียอด Reject Rate เพียง 7% เท่านั้น” นายปิยะ กล่าว

 

นายปิยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้จะทำให้บริษัทฯมีที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ที่จะแปลงเป็นรายได้ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ด้วยการเพิ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับกลาง - สูง  พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ The Palm สู่ราคามากกว่า 30 ล้านบาท ที่นำความร่วมมือ (Synergy) จากธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือเข้ามาผสานใช้ ให้เป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น   พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ  โดยในปี 2567 ตั้งเป้าในการ Re-Stock Landbank ด้วยงบ 10,500 ล้านบาท เพื่อมาต่อยอดการขยาย มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อจะคงสัดส่วนการพัฒนาตามกลุ่มลูกค้าราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ไม่เกิน 40% และมากกว่า 7 ล้านบาทให้มากกว่า 30%

ส่วนความคืบหน้าหลังจากที่ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ 3 บริษัทในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ ORI  ได้แก่ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO ,บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด หรือ PARK และบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI จะเริ่มจากการพัฒนาบ้านเดี่ยว ย่านบางบอน ซึ่งเป็นการพัฒนาบนที่ดินของพฤกษาฯ พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ พัฒนาไม่เกิน 100 ยูนิต ราคาประมาณ 15 ล้านบาท(+-) มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปลายปี 2567 นี้ หลังจากนั้นจึงเป็นการพัฒนาคอนโดฯย่านใจกลางเมือง และโรงแรม ระดับ 4-5 ดาว ในรูปแบบของ Wellness Hotel ซึ่งในส่วนของโรงแรม เป็นที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 18 พื้นที่ประมาณ 4-5 ไร่ เดิมมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ ระดับราคา 100,000 ปลายๆต่อตารางเมตร ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่มองว่าดีมานด์ยังมีน้อย เลยปรับแผนเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม ORI ในสัดส่วน 50 : 50  เพื่อลดความเสี่ยง ด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่ายมาเสริมซึ่งกันและกัน คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณปี 2568

ซัพพลายของผู้ประกอบการนั้นมีมากขึ้น โดยเฉพาะรายใหญ่ เราจึงต้องใช้รูปแบบการพัฒนาที่ตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ หรือการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยในปีนี้เราคงมีการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่ม เพื่อฉีกตัวออกจากการแข่งขัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งการร่วมทุนกับกลุ่มออริจิ้นฯก็เช่นกัน ” นายปิยะ กล่าว

 

สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดใหม่ในปี 2567 จะยังคงมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างสรรค์การอยู่อาศัยที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน อาทิ โซล่าเซลล์ พัฒนาดีไซน์บ้านเพื่อสุขภาพดี และประหยัดพลังงาน (Healthy living home & Passive design home) ให้ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย (Universal design) และช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้อาศัย พร้อมด้วยการตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น โดยนำแพลตฟอร์ม MyHuas  ซึ่งป็นเทคโนโลยี Smart Home ควบคุมการทำงานในบ้านได้ที่ปลายนิ้ว มาใช้  พร้อมด้วยมอบบริการเพื่อสุขภาพที่ดีจากโรงพยาบาลวิมุตพันธมิตรในเครือ 

 

ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด กล่าวว่า สำหรับในปี 2567 นี้มองว่าแนวโน้มโรงพยาบาลจะมีผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ เพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมากถึง 76% อีกทั้งยังคงให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าต่างชาติตอบรับนโยบายวีซ่าฟรีสาหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ ได้แก่ การร่วมลงทุนในนัลลูรี่ (Naluri) ผู้ให้บริการด้านสุขภาพแบบดิจิทัลจากประเทศมาเลเซีย และร่วมมือกับ Pathology Asia จากประเทศสิงคโปร์ ในธุรกิจห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และการวิเคราะห์ผล โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) แต่ในปีนี้จะลูกค้าจะประเทศออสเตรเลีย ที่มีความต้องการมาศัลยกรรมความงาม และกลุ่มประเทศจากตะวันออกกลาง ที่มีความต้องการมารักษาโรคเกี่ยวกับเบาหวาน มากขึ้น

อีกทั้งมีแผนการรีแบรนด์โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ให้เป็น “โรงพยาบาลวิมุต เทพธารินทร์” พร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้จากความร่วมมือกับ เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและเป็นโซลูชั่นในการดูแลผู้สูงอายุครบทุกมิติเพื่อขยายการรองรับสู่สังคมอายุยืน เข้าบริหารเนอร์สซิงโฮมของกลุ่มวิมุตในย่านบางนา แบริ่ง และวัชรพล ซึ่งมีจำนวนรวม 240 เตียง พร้อมโอกาสในการบริหารเนิร์สซิงโฮมอีก 5 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจำนวนเตียงที่ให้บริการรวม 600 เตียง ภายใน 3 ปี พร้อมทั้งยังคงดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต แห่งใหม่ บริเวณถนนสุขุมวิทและย่านฝั่งธนฯ อย่างต่อเนื่อง 

 

นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุต ยังประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์ส่องกล้องและหน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (ENDOSCOPY & GI MOTILITY UNIT)  ผลักดันการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคยากและซับซ้อนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เราได้เปิดตัวโปรแกรมการทำเลสิก (LASIK) และ โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคล (Gut Microbiome Test) ร่วมกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์   มุ่งช่วยคนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด และยังช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคร้าย รวมถึงสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว 

นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังคงต่อยอดความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดี  เพิ่มทางเลือกและการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ 17 แพ็กเกจ อาทิ แพ็กเกจผ่าตัดถุงน้ำดี ผ่าตัดมดลูก เต้านม ก้อนเนื้อที่รังไข่ ซ่อมแซมไส้เลื่อน ผ่าตัดริดสีดวงทวาร เปลี่ยนข้อเข่าเทียม ผ่าตัดก้อนหรือผิวหนัง เป็นต้น สำหรับปี 2567 กลุ่มวิมุตตั้งเป้ารายได้ที่ 2,300 ล้านบาท  สูงกว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 1,820 ล้านบาท

“การดำเนินงานในก้าวต่อไปพฤกษายังคงมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ในปี 2566 กลุ่มได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงได้ 10,000 ตัน จากการติดตั้งโซลาร์, การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน (Passive Home),  การใช้เทคโนโลยี Smart Home, โครงการร่วมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์, การใช้คอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) ลดการใช้ซีเมนต์,  การใช้เทคโนโลยีสีเขียว  “คาร์บอนเคียว”  (CarbonCure)  และยังคงเดินตามแผนที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ในปี 2566 กลุ่มได้นำการทำอาคารสำนักงานแบบ Smart Office และ Smart Hospital โรงพยาบาลที่ใช้พลังงานน้อย โดยล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้รับรางวัล MEA Energy Award  จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA)” นายแพทย์พิชิต กล่าวในที่สุด

You can share this post!