ศรีนานาพรฯเผยภาพรวมเศรษฐกิจโลก-ไทย ปี 67 ยังไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคยังระวังการเลือกซื้อสินค้าบริโภคที่คุ้มค่ากับเงินในกระเป๋า ด้านตลาดขนมขบเคี้ยว โตเป็นบางผลิตภัณฑ์ แต่กลุ่มมันฝรั่งชะลอตัว ล่าสุดสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ”เจเล่ฟิตต์” หวังตอบโจทย์ผู้บริโภค พร้อมโชว์ผลดำเนินงานปี 66 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ กำไรพุ่ง 23% แตะระดับ 636 ล้านบาท รายได้รวมโตทะลุเป้า 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดอีกในอัตรา 0.25 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 7 พ.ค. 67 รวมทั้งปีจ่ายปันผล 0.482 บาท/หุ้น ตั้งเป้ารายได้ปี 67 โต 2 ดิจิต
นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ในปี 2567 ยังชะลอตัว สังเกตได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆที่เม็ดเงินสะพัดออกเป็นลำดับต้นๆในกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะเดียวกันงบลงทุนจากภาครัฐก็ยังน้อย โดยจากการไปเยี่ยมลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้รับทราบข้อมูลว่าผู้บริโภคยังไม่ค่อยมีเงินในการจับจ่ายใช้สอย จึงเลือกซื้อสินค้าที่รับรู้แบรนด์และบริโภคที่คุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งมองว่า ณ ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก
สำหรับภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยว(Snack) ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยภาพรวมมีอัตราการเติบโตประมาณ 3% ซี่งเป็นการเติบโตในสแน็กบางประเภท เช่น กลุ่มถั่ว มีอัตราการเติบโตมาก ในขณะที่กลุ่มมันฝรั่งไม่ค่อยมีอัตราการเติบโต เนื่องจากในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ผู้บริโภคจะนิยมบริโภคสินค้าที่มีราคาถูก สินค้ากลุ่มถั่วจึงตอบโจทย์มากกว่ากลุ่มมันฝรั่ง ที่ส่วนใหญ่หันไปผลิตสินค้าระดับราคาตั้งแต่ 10-20 บาท/ซอง
ล่าสุด SNNP ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplementary) ภายใต้แบรนด์ ”เจเล่ฟิตต์” (Jele Fitt) ในรูปแบบเยลลี่รสผลไม้ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนละช่วงวัย แบ่งเป็นสำหรับวัย 20-29 ปี สำหรับวัย 30-39 ปี และสำหรับวัย 40-49 ปี ราคาซองละ 15 บาท (1 ซอง บรรจุ 27 กรัม) วางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซึ่งจากการวิจัย Jele Fitt จะชนะใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ในด้านแนวความคิดผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง ทั้งรสชาติสินค้าอร่อย บรรจุภัณฑ์ที่สะดวกพกพาง่าย รูปแบบดีไซน์ที่โดดเด่น ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของเจเล่ที่จะเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามในปี 2567 นี้ บริษัทฯคาดว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกอย่างน้อย 2 ผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความจดจำว่า “เจเล่าฟิตต์”เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3 ปี มีส่วนแบ่งตลาด 5%
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ มาจากแผนธุรกิจที่ ทางบริษัทฯได้มีการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศเวียดนามที่เป็นประเทศหลัก บริษัทฯยังมองเห็นโอกาสในการทำตลาดในประเทศอื่น เช่น ฟิลิปปินส์, เกาหลี และจีน เป็นต้น และทางบริษัทฯยังคงเฟ้นหาตลาดเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมให้บริษัทฯมีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ และอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยสนับสนุนการผลดำเนินงานของบริษัทฯให้เติบโต ส่วนประเทศอินเดีย คงเป็นอนาคตอีกระยะเวลา 5 ปี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศอินเดียอยู่ โดยคาดว่าในปี 2567 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.25 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 กำหนดจ่ายวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ บริษัทจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 0.232 บาท รวมทั้งปีเท่ากับ 0.482 บาท/หุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445 ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท และในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ 2 ดิจิต (ประมาณ 18%)
โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และยอดขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทฯ ทยอยออกสินค้าใหม่วางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และมีการวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การปรับโฉมสินค้า รวมถึงการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ๆ เพื่อสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ซึ่งมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี