news-details
Business

“ซีแพนเนล”ปลื้มรายใหญ่แห่ใช้ Precast Concrete ผุดโครงการ ลดภาระต้นทุน-คาร์บอน เพียบ ตั้งเป้าปี’67 โต 20% สวนกระแสตลาดอสังหาฯ

ซีแพนเนลฯ เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปีมังกร ยังเผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือน-ดอกเบี้ยปรับตัวสูง-แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ ส่งผลผู้ประกอบการปรับแผนเน้นขายก่อน สร้างภายหลังลดความเสี่ยงทุกด้าน ระบุเทรนด์บ้านแนวราบหั่นห้องนอนผู้สูงปรับเป็นออฟฟิศมากขึ้น ด้านคอนโดฯโลว์ไรส์ ต่ำกว่า 3 ล้านบาท  แนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังผู้ประกอบการหันใช้ Precast Concrete ผุดโครงการรคอบนอกกทม.หวังลดต้นทุน ด้านโรงงานแห่งที่ 2 พร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 1/67 ดันกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ แตะ 2 ล้านตร.ม. มุ่งเน้น Green Construction Technology เพิ่มโอกาสการแข่งขัน เทรนด์ขายก่อนสร้างทีหลังดัน Precast Concrete โตสวนกระแสตลาดอสังหาฯ ตั้งเป้าปีนี้โต 20%

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด(มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Full Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ว่า ยังคงเผชิญความท้าทาย ทั้งหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง นโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods) ลดลง ดังนั้นแนวโน้มของโครงการก่อสร้างในปัจจุบันจึงมีลักษณะขายก่อน ก่อสร้างภายหลัง ทำให้ผู้ประกอบการที่ยังมีการลงทุนในโครงการต่างๆต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ทันเวลา และเป็นการลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการในการสต๊อกที่อยู่อาศัย ลดค่าแรงงาน ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูง อีกทั้งสามารถรักษา Working Cap ในการดำเนินงานได้ ซึ่ง Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ถือเป็นโอกาสในการับงานของบริษัท และเชื่อว่าจากปัจจัยเกื้อหนุนดังกล่าวจะผลักดันให้ผลประกอบการปี 2567 เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้

ด้านการท่องเที่ยวในประเทศมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการที่มีชาวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งในอนาคตจะมีการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเทรนด์ของลูกค้าที่ใช้บริการผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯยังเป็นผู้ประกอบการค่อนข้างมาก   ซึ่งจะเริ่มเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่หันมาใช้สินค้าของบริษัทฯมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าเน้นเรื่องการลดคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน เดิมลูกค้าของบริษัทฯจะเป็นผู้ประกอบการแนวราบเกือบ 100% แต่ในปี 2567 นี้ มีผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการแนวราบสนใจมาซื้อสินค้าของบริษัทมากขึ้น

“ลูกค้าของเรา บางรายเป็นลูกค้าแนวราบอยู่แล้ว แต่ปีนี้ก็สั่งซื้อสินค้าเพื่อไปพัฒนาโครงการแนวสูงด้วย หรือบางรายเป็นลูกค้าโครงการแนวสูง ในปีนี้ก็มาสั่งซื้อสินค้าพัฒนาแนวราบด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในสัดส่วนประมาณ 70-80% และผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ 30% ในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการในต่างจังหวัดประมาณ 30-40% ซึ่งรวมไปถึงผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ต ด้วย แต่มองว่าด้วยภูมิศาสตร์ของพื้นที่ จะมีความยากในเรื่องของงานดิน เพราะส่วนใหญ่เป็นดินภูเขา”นายชาคริต กล่าว

นายชาคริต กล่าวเพิ่มเติมว่า เทรนด์ตลาดคอนโดฯจะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ Precast Concrete มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดฯโลว์ไรส์ ต่ำกว่า 3 ล้านบาท จะฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินแพงมากขึ้น และส่วนใหญ่จะพัฒนารอบนอกกทม. ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ใช้ได้ต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีนี้

ส่วนโครงการแนวราบ ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯจะเป็นผู้ประกอบการที่พัฒนาบ้านระดับราคา 10-40 ล้านบาท และยังมีความต้องการที่จะได้ลูกค้าบ้านระดับราคาตั้งแต่ 40 ล้านบาทขึ้นไปด้วยเช่นกัน และมองว่าเทรนด์การพัฒนาบ้านแนวราบ จะมีการออกแบบห้องเป็นเป็นออฟฟิศมากขึ้น ขณะที่ห้องสำหรับผู้สูงวัยจะน้อยลง เพราะผู้สูงวัยในปัจจุบันจะนิยมไปซื้อหรือเช่าที่พักอาศัยที่มีสังคมกลุ่มคนสูงวัยด้วยกันอาศัยอยู่มากขึ้น ส่วนห้องนอนก็มีการออกแบบให้เล็กลง แต่ห้องครัวและห้องน้ำจะมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้น

นอกจากนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯก็จะมีการขยายฐานไปยังจังหวัดใหม่ๆที่เป็นหัวเมืองรองและมีอัตราการเติบโตมากขึ้น  โดยเห็นว่ามีอสังหาฯรายใหญ่เริ่มขยายฐานลูกค้าไปยังจังหวัดหัวเมืองรองมากขึ้น  ซึ่งเทรนด์ที่ชัดเจนอีกอย่างคือ จะเปลี่ยนเป็น Supply Chain ที่มีความเชื่อใจ น่าเชื่อถือ และมีความเป็นมืออาชีพ ที่มากกว่าการเสนอราคา  และจะเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 แล้วว่า ผู้ประกอบการรายเล็กเริ่มหายไปจากวงจรธุรกิจ ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและอยู่รอด

 

สำหรับทิศทางธุรกิจปี 2567 ของบริษัทฯนั้น ได้เพิ่มกำลังการผลิตโรงงานเดิม พร้อมเปิดโรงงานผลิตแห่งที่ 2 พื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ใช้งบในการลงทุน 500 ล้านบาท ส่งผลให้ CPANEL จะมีกำลังการผลิตรวม 2 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20%  พร้อมเพิ่มความสามารถการทำกำไรจากการดำเนินงาน

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมในโรงงานผลิตเดิม จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 790,000 ตารางเมตรต่อปี จะเพิ่มอีก 25% เป็น 990,000 ตารางเมตร และโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/2567 นี้  ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตทั้ง 2 โรงงาน รวมกันราว 2 ล้านตารางเมตรต่อปี อย่างไรก็ตาม ในปีนี้โรงงานผลิตแห่งที่ 2 อยู่ในช่วงทดลองระบบ อาจจะไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มปี โดยในปี 2568 หากเดินเครื่องได้เต็มกำลังแล้ว คาดว่าจะผลักดันให้ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทั้งนี้ กระบวนการผลิตของ CPANEL ทั้ง 2 โรงงาน ถือเป็นโรงงาน Precast Concrete ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง ทั้งเรื่องการออกแบบ ความรวดเร็ว ปริมาณ และคุณภาพ รวมถึงลดความผิดพลาด ความสูญเสียในการผลิต ถือเป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบของบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเริ่มดำเนินงานของโรงงานผลิตแห่งที่ 2 จะยิ่งเพิ่มศักยภาพบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขายได้ดีขึ้น อีกทั้งมีกระบวนการผลิตเร็วกว่าเดิม 30% ใช้แรงงานน้อยกว่าเดิม รวมถึงค่าบริหารจัดการและบุคลากรในกระบวนการผลิต จากเดิม 15% ของรายได้ จะลดลงเหลือ 7% โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มโอกาสการรับงาน รองรับความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น และส่งผลให้บริษัทมี Economy of Scale เพิ่มความสามารถการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ บริษัทฯได้ใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) ในปี 2567 นี้ บริษัทฯจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์การเป็น Green Construction Technology ลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนที่จะเปลี่ยนพลังงานเป็น Renewable Energy และเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นวัสดุลดคาร์บอนทั้งหมด

อีกทั้งใบรับรองจาก TGO ทำให้ CPANEL สามารถออกรายการคำนวณคาร์บอนให้กับลูกค้าได้ด้วย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจชื้อของลูกค้า และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ปรับเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับลูกค้าได้ จากแผนดำเนินงานดังกล่าว ถือเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน โรงงานนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

 

 

You can share this post!