พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯเผยภาพรวมเศรษฐกิจ-ตลาดอสังหาฯปี67 ยังไม่ฟื้นตัวดี แนะหากปรับดอกเบี้ยลงได้ 3 ครั้งๆละประมาณ 0.25% จะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านซัพพลาย-ดีมานด์ อย่างมีนัยสำคัญมาก กำลังซื้อจะกลับมาได้ถึง 5% ด้านแผนธุรกิจทั้งเครือตั้งเป้ายอดขายรวม 20,000 ล้านบาท รายได้แตะ 18,000 ล้านบาท มุ่งปรับโครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง ลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเหลือ 1 เท่าภายในปีนี้ พร้อมลดหนี้ 11,000 ล้านบาทใน 3 ปี เผยรายได้จากโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านที่ดินย่านรามอินทราฯ 3 ยักษ์อสังหาฯแห่จีบซื้อ คาดปิดดีลในครึ่งปีแรก ส่วนธุรกิจรร. ต่างชาติ 3 ราย จ้องสนใจฮุบ แต่ประกาศขายให้เพียง 1 แห่ง มูลค่า 5,000 ล้านบาท ส่วนที่ดินถ.หอการค้าไทย ล่าสุดแบ่งขายให้กลุ่มเอพีฯ ประกาศแผนปีมังกร ผุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท น้อยกว่าปี 66 เหตุตลาดยังผันผวน การ Raise fund ตลาดหุ้นกู้ก็ทำได้ยาก หันเน้นโครงการปิดขายเร็ว พัฒนาสินค้าดีไซน์ใหม่ทั้งบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮม พร้อมเดินหน้าสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Go Green
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2567 ว่า ผังเมืองรวมฯ ฉบับใหม่ จะเป็นจุดเปลี่ยนของเมือง ที่ก่อให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของกรุงเทพฯ อีกทั้งเป็นปีที่รถไฟฟ้าเปิดให้บริการครบ 10 สาย ระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร(กม.) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะที่ดินที่ติดรถไฟฟ้า มีราคาสูงขึ้น ขณะที่เมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกระตุ้นตลาดอาทิ โครงการ วัน แบงค็อก ที่จะเปิดตัวเฟสแรกในปี 2567 ,ดุสิต เซ็นทรัล ปาร์ค ที่มีกําหนดแล้วเสร็จภายในปี 2568 รวมถึงโครงการใหม่ของเครือเซ็นทรัลฯด้วย
สำหรับมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯที่ขยายระยะเวลาไปจนถึงปลายปี 2567นั้น ก็ช่วยภาคอสังหาฯได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติเติบโตเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ทั้งในทําเลใจกลางเมือง และ หัวเมืองท่องเที่ยวสําคัญ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มจีนแผ่นดินใหญ่ จีนไต้หวัน เมียนมา และประเทศต่างๆในกลุ่มยุโรป เป็นต้น
อย่างไรก็ตามคาดว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัวดีกว่าปี 2566 และจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวที่เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปี 2566 ส่วนอัตราดอกเบี้ยแม้จะอยู่ในระดับสูง แต่มีแนวโน้มปรับลดลงในปีนี้
“เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจยังไม่สดใสมากนัก คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ประมาณปี 2568 และหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงได้ 3 ครั้งๆละประมาณ 0.25% ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลง ทางด้านซัพพลายและดีมานด์ ที่มีนัยสำคัญมาก โดยเชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาได้ถึง 5% เลยทีเดียว”นายวงศกรณ์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯปี 2567 ว่า บริษัทมุ่งเน้นการจัดการเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ลดภาระหนี้ พัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ และการดำเนินงานเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้กลุ่มบริษัท คือ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ และบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือ GRAND ตั้งเป้ายอดขายที่ 20,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 9,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,540 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 4,460 ล้านบาท และโรงแรม 3,250 ล้านบาท ขณะที่รายได้ปีนี้ตั้งไว้ที่ 18,000 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 8,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 2,380 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 3,770 ล้านบาท และโรงแรม 3,250 ล้านบาท
ทั้งนี้ปี 2567 นี้กลุ่มบริษัทยังมีนโยบายสร้างความมั่นคงด้านการเงิน ให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้มากกว่าการขยายตัว โดยตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของกลุ่มบริษัทให้ลงไปอยู่ที่ระดับ 1 เท่าภายในสิ้นปี 2567 นี้ โดยปีนี้มีแผนลดภาระหนี้ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 2,000 ล้านบาท ซึ่งมีแผน จะขายที่ดิน ย่านรามอินทรา กม.8 พื้นที่ 50 กว่าไร่ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะนี้มีผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสนใจและอยู่ระหว่างการเจรจาประมาณ 3 ราย คาดว่าจะปิดดีลนี้ได้ในครึ่งปีแรก 2567 นี้ และยังมีที่ดินบริเวณรัชดาภิเษกอีกประมาณ 10 ไร่ ที่จะตัดขายเช่นกัน คาดว่าจะจบดีลได้ในปี 2568 ส่วนแกรนด์ แอสเสทฯ ที่มีแผนจะขายโรงแรม 1 แห่ง จากที่มีอยู่ 3 แห่ง คือ โรงแรม ไฮแอท รีเจนซี่สุขุมวิท,โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท และโรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน ขณะนี้มีนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจที่จะซื้อแล้วประมาณ 3 ราย คือ กลุ่มทุนจากตะวันออกกลาง, ญี่ปุ่น และ จีน ซึ่งจะขายเพียงแค่เพียง 1 แห่งมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท รวมเป็นเม็ดเงิน 7,000 ล้านบาท
นายวงศกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงที่ดินบริเวณถนนหอการค้าไทย ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ย่านธุรกิจสำคัญ คือ ถนนแจ้งวัฒนะและถนนราชพฤกษ์ ที่เดิม มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 700 ไร่ ที่ผ่านมาแบ่งขายให้ผู้ประกอบการไทยที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและผู้ประกอบการต่างชาติ ไปแล้ว 6 ราย คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน),บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน),บริษัท เอสซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน),บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) และล่าสุดเมื่อต้นปี 2567 ได้ขายที่ดินให้กับบริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) ส่วนกลุ่มต่างชาติที่แบ่งขายที่ดินให้ไปคือ กลุ่มฮ่องกง แลนด์ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯเหลือที่ดินอยู่อีกประมาณไม่ถึง 100 ไร่ ซึ่งจะเก็บไว้พัฒนาเอง โดยจะสามารถพัฒนาได้ประมาณ 2-3 โครงการ
นอกจากนี้ยังมีแผนลดภาระหนี้ ทั้งหมด 11,000 ล้านบาท ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ให้หมดภายในระยะเวลา 3 ปี แบ่งเป็นปี 2567 จำนวน 7,000 ล้านบาท ปี 2568 และ 2569 ปีละ 2,000 ล้านบาท จากการขายที่ดินและเงินคืนจากบริษัทร่วมทุน
ในส่วนโครงการร่วมทุน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีการร่วมทุนกับ 3 บริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ เป็นมูลค่าโครงการรวม 28,120 ล้านบาท มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากโครงการร่วมทุนเติบโตอีก 24% ขณะที่ธุรกิจโรงแรมปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากปีก่อนถึง 54% ซึ่งมีปัจจัยบวกหลักคือสถานการณ์โควิด-19 ที่กลับสู่ภาวะปกติ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงงานประชุมต่างชาติ โดยโรงแรมทั้ง 5 แห่งของบริษัท มีอัตราเข้าพักและราคาเฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสามารถสร้างกำไรจากการบริหารงานได้สูงกว่าปี 2565 อยู่ที่ 152% อีกทั้งมากกว่าปี 2562 ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ถึง 10% สำหรับปี 2567 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 22% กำไรขั้นต้นเติบโต 36% จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
ด้านนายวสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า ปีนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วางเป้าขายอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 12,000 ล้านบาท มีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 6,290 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,410 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดตัวน้อยกว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ที่ประกาศเปิดตัวทั้งสิ้น 14 โครงการ รวมมูลค่า 17,700 ล้านบาท แต่สามารถเปิดตัวได้เพียง 9-10 โครงการเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์ตลาดก็ยังมีความผันผวน ไม่แน่นอนอยู่ การ Raise fund ตลาดหุ้นกู้ก็ทำได้ยาก จึงหันมาเน้นการลดภาระหนี้สินของบริษัทฯ ซึ่งทำให้ฐานะการเงินของกลุ่มเพอร์เฟคฯแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นโครงการที่เหลือในปีที่ผ่านมาจึงเลื่อนมาเปิดในปี 2567 โดยไม่มีโครงการร่วมทุนแต่อย่างใด
โดยจะทำให้บริษัทมีโครงการที่พัฒนาทั้งสิ้น 65 โครงการ รวม 23 แบรนด์ จำนวน 21,781 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 119,767 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายประมาณ 8,146 ยูนิต มูลค่า 57,043 ล้านบาท
ซึ่งโครงการที่เปิดในปีนี้เป็นแนวราบทั้งหมด มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน โดยเน้นเปิดโครงการที่มั่นใจว่าสามารถปิดการขายได้เร็ว ซึ่งโครงการไฮไลท์ได้แก่ “เพอร์เฟค เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์” ซึ่งเป็นการกลับมาสานต่อความสำเร็จของแบรนด์เพอร์เฟค เพลส ในโซนกรุงเทพตะวันตก ทำเลที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและได้รับการตอบรับอย่างดีมากว่า 20 ปี “วาวิล่า” โครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้นจับกลุ่มลักชัวรี่เพิ่มเติมในทำเลกรุงเทพกรีฑา และยังมีการขยายโครงการในทำเลใหม่ ได้แก่ “โมดิ วิลล่า สถานีคูคต” เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าที่มีศักยภาพการเติบโตสูง บริษัทยังเน้นการพัฒนารูปแบบสินค้าทั้งบ้านเดี่ยวในโครงการเพอร์เฟค เพลส และ เพอร์เฟค พาร์ค ที่ปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ เพิ่มฟังก์ชั่นและขยายพื้นที่ใช้สอย รวมถึงการกลับมารุกตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นอีกครั้ง ด้วย “เดอะ เมทโทร” ทาวน์โฮมที่ปรับโฉมใหม่ให้สวยงามเรียบง่ายในสไตล์มินิมอลลิสต์
นอกจากนี้พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังเดินหน้าสู่ความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Go Green” ผ่าน 4 แกนหลัก ได้แก่
1.Clean Energy การใช้พลังงานสะอาดทั้งในระดับโครงการและในบ้าน ทั้งการติดตั้งโซลาร์รูฟบนอาคารสโมสร สำนักงานขาย และบ้านในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ และ เลค เลเจ้นด์ ติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับบ้านเดี่ยวสร้างใหม่ในโครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ, เลค เลเจ้นด์ และวาวิล่า และติดตั้งระบบที่รองรับการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Ready) สำหรับบ้านเดี่ยวโครงการเพอร์เฟค เพลส, เพอร์เฟค พาร์ค และโมดิ วิลล่า
2) Water Saving การพัฒนาโครงการที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่ให้มีความโดดเด่น ควบคู่ไปกับการดูแลแหล่งน้ำและทะเลสาบภายในโครงการอย่างดี ทั้งการจัดการคุณภาพน้ำและหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ประโยชน์
3) Materials & Process การให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบให้ลดการใช้พลังงาน และเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4) Good Health & Well-Being ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย โดยปีนี้จะเปิดคลับเฮาส์ขนาดใหญ่รูปแบบใหม่ในทำเลกรุงเทพกรีฑา เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัยในโครงการ