news-details
Business

“สวอน เอสเตท”ปรับแผนธุรกิจหนียอด Reject สูง ผุด“ชญาดา บิซ เพลส” ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ ราคาเริ่มต้น 14 ล้านบาท

ตระกูล “อุชุปาละนันท์” ผนึกกลุ่ม “สวอนอินดัสทรี่ส์”ร่วมพัฒนาอสังหาฯโซนกรุงเทพฯตะวันออก เน้นรูปแบบทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ เผยหลังปิดการขายโครงการแรก ปรับแผนหันผุดโครงการ“ชญาดา บิซ เพลส” ราคาเริ่มต้น 14 ล้านบาท มูลค่า 550 ล้านบาทเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบน แก้ปัญหายอด Reject สูง พบความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาการลงทุนที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่าระยะยาว เพื่อเป็นรางวัลความสำเร็จในชีวิต คาดปิดการขายภายใน 2 ปี

นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่าหลังจากที่ร่วมทุนกับกลุ่มริษัท สวอนอินดัทรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทโลหะ (กระป๋อง) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯร่วมกัน ด้วยการก่อตั้ง สวอน เอสเตทฯขึ้นมา เมื่อปี 2554โดยกลุ่มสวอนอันดัสทรี่ส์ฯถือหุ้นในสัดส่วน 55% และกลุ่มของตนถือหุ้นในสัดส่วน 45% โดยเน้นการพัฒนาทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ ครั้งละ 1 โครงการ ในทำเลจ.สมุทรปราการ หรือโซนตะวันออกของกทม. และสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2-3 ปี  เริ่มจากการพัฒนา “โครงการชญาดา @เวิร์คบางนา” โฮมออฟฟิศแห่งแรก  เริ่มขออนุญาตและก่อสร้างปี 2558 ราคาเริ่มต้นที่ 5.5 ล้านบาท จำนวน 99 ยูนิต มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ปัจจุบันปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับในปี 2567 มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี และฟื้นตัวมากนัก  แนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยนั้น ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวม คือ “การซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย” จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ผู้บริโภคกลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง-แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที

อย่างไรก็ตามมองว่า จากการพัฒนา“โครงการชญาดา @เวิร์คบางนา”ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าลูกค้ามียอดถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน(REJECT) เกิน 50% แต่ก็สามารถปิดการขายได้ด้วยดี ดังกล่าวบริษัทฯจึงได้ปรับแผนด้วยหันหันมาพัฒนาโครงการที่เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบนมากขึ้น ด้วยการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2567 ภายใต้แบรนด์ “ชญาดา บิซ เพลส” (Chayada Biz Place) ขึ้นมา ทำเลโซนศรีนครินทร์-อ่อนนุช บนพื้นที่เกือบ 6 ไร่ ในรูปแบบของทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย ขนาดตั้งแต่ 24.8-59.2 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 14-17 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโรงการ 550 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วประมาณ 4 ยูนิต ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาประมาณ 80,000-85,000 บาท/เดือน โดยมุ่งเน้นลูกค้าหลักที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี ที่มีการศึกษาดี ความรู้ความชำนาญ สามารถทำงานหรือบริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ อีกทั้งในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมจุดเด่นที่ช่วยเติมเต็มความดุลทั้งการพักอาศัย การทำงาน การเดินทาง ได้ครบทุกความต้องการ

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นพัฒนาขึ้น “ในทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด” บนโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นที่สมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง ทำให้มีราคาที่ตอบโจทย์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และยังรองรับต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้แบบครอบคลุม โดยปัจจุบันราคาที่ดินในทำเลศรีนครินทร์-อ่อนนุช มีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท/ตารางวา หรือมีการปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 3-5%ต่อปี

นอกจากนี้ “ชญาดา บิซ เพลส” ยังมีแนวทางสำคัญที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ความต้องการประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งความสมดุลของชีวิต หรือ Work Life Balance & Success ซึ่งเป็นแนวทางคนรุ่นใหม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างชาญฉลาด และให้รางวัลกับชีวิตอย่างเต็มที่ โดยด้วยความสามารถในการปรับรวมที่อยู่อาศัยกับที่ทำงานให้เป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ได้ทุ่มเทกับงานและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน

“ความสำเร็จในบริบทของ ชญาดา บิซ เพลส เรายังมองรวมไปถึงการต่อยอดการสร้าง Passive Income ที่เหมาะสมกับด้านการลงทุน ซึ่งเรามั่นใจว่าลูกค้าโครงการจะสร้าง Yield 5% และ Capital Gain 6% ได้อย่างแน่นอน จากศักยภาพระดับสูงทั้ง 4 ด้าน คือ HIGH POTENTIAL การก่อสร้างคุณภาพดี สวยงามทันสมัย ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า, HIGH LIQUIDITY คล่องตัวทางการเงินขายต่อได้ง่าย, HIGH YIELD สามารถสร้างรายได้ คือปล่อยเช่าง่ายและได้ราคาเช่าที่ดี สุดท้ายคือ HIGH PROFIT คือต้องสามารถทำกำไรได้ดีเมื่อต้องการขาย และด้วยความพิถีพิถันที่บริษัทฯ ได้เก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการของลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาโครงการฯ อย่างดีที่สุด ทำให้มั่นใจได้ว่า ชญาดา บิซ เพลส จะสามารถปิดโครงการได้ในเวลาไม่เกิน 2 ปี ซึ่งเมื่อหลังจากขายบ้านได้เกินกว่า 50% แล้ว เราจะเริ่มดำเนินการตามเป้าหมายในอีก 3-5 ปีของบริษัทฯ ด้วยการสำรวจตลาดและศึกษาความเป็นไปได้เตรียมพร้อมสำหรับโครงการถัดไป โดยคงกลยุทธ์การพัฒนาให้ความสำคัญกับทำเลเป็นด่านแรก และเรายังมองถึงการซื้อที่ดินแปลงใหม่ เพื่อให้มีความสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์และตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในขณะนั้นได้ในทุกมิติ” นายเทธดา กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2565-2566 บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด ได้มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ จากการเลือกพัฒนาโครงการโดยเน้นทำเลและคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้สามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและยึดมั่นในกลยุทธ์การพัฒนาที่สัมฤทธิ์ผล ส่วนในปี 2567 นี้ ด้วยสภาวะเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอน ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้องดำเนินนโยบายแบบประคองตัวไม่เน้นที่การเติบโต และต้องแข่งขันเพื่อแย่งลูกค้าที่มีอยู่จำกัด แต่อย่างไรก็ตาม นับเป็นผลประโยชน์ที่ตกไปยังผู้บริโภค ที่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้ซื้ออสังหาฯ ในราคาที่เพิ่มในอัตราที่ช้าลงอย่างมาก ซึ่งส่วนของโครงการ ชญาดา บิซ เพลส ที่อยู่ในตลาดบ้านทาวน์โฮม จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภค เพราะเป็นจุดสมดุลระหว่างคอนโดมิเนียมกับบ้านเดี่ยว โดยมีจุดแข็งที่ราคาไม่แพงแต่ได้ทำเลดีกว่าบ้านเดี่ยว และไม่ต้องลุ้นกับสถานการณ์โอเวอร์ซัพพลายเหมือนคอนโดมิเนียมนั่นเอง

 

You can share this post!