ไรมอน แลนด์ฯโชว์ผลประกอบการปี’66 ยอดขาย แตะ 1,912 ล้านบาท ชี้ปัจจัยความสำเร็จมาจาก 2 คอนโดฯ พร้อมอยู่ รวมทั้งสร้างรายได้ประจำผ่านโครงการ OCC ที่มีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน-พื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้า ณ ปัจจุบันรวมถึงประมาณ 70% พร้อมวางกลยุทธ์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภาพรวมทางธุรกิจในปี’67 เดินหน้าสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเติมเต็มพื้นที่เช่าอาคาร OCC พร้อมเปิดตัว 3 โครงการอัลตร้าลักชัวรี รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาทตามแผน
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2566 ว่า มียอดขาย (Presales) 1,912 ล้านบาท ชี้ปัจจัยความสำเร็จมาจากคอนโดฯ 2 โครงการ พร้อมอยู่ ได้แก่ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์”(The Estelle Phrom Phong) โครงการระดับอัลตร้าลักชัวรี่ บนทำเลใจกลางสุขุมวิท จำนวน 146 ยูนิต ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท สามารถปิดการขายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผนวกกับผลตอบรับที่ดีจาก คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร “เทตต์ สาทร ทเวลฟ์” (Tait Sathorn12) ที่มียอดขายรวม 98% รวมทั้งสร้างรายได้ประจำผ่านโครงการ One City Centre (OCC) อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย ที่มีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้า ณ ปัจจุบันรวมถึงประมาณ 70% พร้อมวางกลยุทธ์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภาพรวมทางธุรกิจในปี 2567
อย่างไรก็ตามแม้ว่าปี 2566 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายของ RML แต่บริษัทฯ ยังสามารถบริหารการขายโครงการได้ในระดับที่น่าพึงพอใจโดยสามารถปิดการขาย “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ อีกทั้งยังมีรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธ์โครงการนี้ โดยมียอดโอน 4,750 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97% ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน และ “เทตต์ สาทร ทเวลฟ์” ที่ลูกค้าทยอยโอนอย่างรวดเร็ว มียอดโอนแล้วถึง 2,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้ประจำ จากโครงการ OCC อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ สูงที่สุดในไทยที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70% สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าไว้วางใจในแบรนด์ RML ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ และสร้างโครงการที่มีคุณภาพบนมาตรฐานระดับโลก โดยในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ได้มีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมกับการปรับตัวมากขึ้น ด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีกจำนวน 3,588 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงของรายได้ และกำไรของธุรกิจในอนาคต
“จากภาพรวมผลประกอบการของ RML ที่เริ่มฟื้นตัวในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ยังคงมีอุปสงค์ (Demand) สูง ดังนั้นในปี 2567 RML พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการมุ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ มุ่งพัฒนาโครงการด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ในเซกเมนต์ที่ยังไม่ค่อยมีการพัฒนา ซึ่งจะสร้างการเปลี่ยนแปลง และสีสันใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยบริษัทฯจะให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ประกอบกับบริหารการเงินของบริษัทฯ ให้มีกระแสเงินสดเพียงพอ มีสภาพคล่อง มีโครงสร้างองค์กรที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อถือครองตำแหน่ง หนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ และอัลตร้าลักชัวรี่ของไทย ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉม RML สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายกรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามในปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเติมเต็มพื้นที่เช่าพื้นที่อาคาร One City Centre (OCC) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นโครงการร่วมทุนในสัดส่วน 60:40 ระหว่าง RML และ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ซึ่งถือเป็นสุดยอดโครงการอาคารสำนักงานที่เป็นที่สุดในทุกมิติ ด้วยพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดรวมประมาณถึง 61,000 ตารางเมตร กับอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 1,500 บาท/ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่แล้วรวม 70% หลังจากโครงการสร้างแล้วเสร็จเพียง 6 เดือนเท่านั้น ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งยังสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อีกด้วย โดยโครงการมีบริษัทระดับโลกมากมายมาเช่าพื้นที่ อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก, ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก, อมาเดอุส เอเชีย บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก, รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป อีกกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า OCC เป็นอาคารสำนักงานที่ได้รับความไว้วางใจ และได้รับการยกย่องจากบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย และส่งผลให้มีรายได้จากค่าเช่าที่ดี ด้วยการตอบรับและแนวโน้มที่ดีเช่นนี้จึงทำให้ OCC มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปสู่การลงทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) หรือ Real Estate Investment Trust (REIT) ที่ให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่น่าพึงพอใจ ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินระดับภูมิภาคสำหรับศักยภาพ และผลตอบแทนจากการลงทุนที่โดดเด่น ทั้งนี้การพัฒนา PE Trust หรือ REIT ที่ประสบความสำเร็จจะเสริมควาแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องด้วยการเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบเจาะกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีบนยอดพีรามิดของเซกเมนต์อัลตร้าลักชัวรี่ ที่ปัจจุบันยังมีการพัฒนาอยู่น้อย แต่มี demand เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว 3 โครงการบนทำเลทองของหัวเมืองหลัก ได้แก่ โครงการบนทำเลใจกลางพร้อมพงษ์-ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ด้วยราคาขายเฉลี่ย 400–700 ล้านบาทต่อหลัง และโครงการ Branded Residential Villa ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ทำเลอ่าวกมลา จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 600 - 1,000 ล้านบาทต่อหลัง รวมทั้งโครงการแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาขายประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อหลัง(ทั้งนี้ Fullmaxคาดการณ์ว่าจะเป็นที่ดิน แปลงใกล้โครงการเดอะ ริเวอร์ เจริญนคร ซึ่งอาจจะเป็นการพัฒนาบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี เพียงหลังเดียว ราคาประมาณ 1,000 ล้านบาท)โดยทั้ง 3 โครงการ จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นโดยบริษัทฯ โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนหลัก พร้อมกับนักลงทุนสถาบันด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงได้รับสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนตามความเหมาะสม อีกทั้งบริษัทฯ ยังปรับรูปแบบการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเปิดขายให้กับนักลงทุนอีกด้วยเช่นกัน