แอล พี พีฯเผยหลังLPN ปรับโครงสร้างเปลี่ยน CEO ใหม่ มั่นใจโดยภาพรวมยังเดินหน้าธุรกิจตามแผน กางโรดแมป 3 ปี เข้าบริหารทั้งสิ้น 350 โครงการ รายได้แตะ 2,545 ล้านบาท โต 12% ด้านแผนเข้าตลาดmai เตรียมยื่นไฟลิ่งได้เม.ย.นี้ คาด IPO ได้ครึ่งปีหลัง 67 หากสภาวะตลาดเอื้ออำนวย ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้แตะ 1,880 ล้านบาท
นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) เปิดเผยว่า หลังจากที่ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN ปรับโครงสร้างใหม่ ด้วยการแต่งตั้งนายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ขึ้นเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แทนนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ที่เกษียณอายุ โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา โดยมองว่าที่มา LPP มีการแยกการบริหารงานอย่างชัดเจน และในช่วงปีที่ผ่านมาได้มีการเตรียมแผนที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) แต่เมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ ก็สามารถ Synegy ได้บางส่วน แต่ในบางส่วนที่ยังไม่สามารถ Synegy ได้ ก็ต้องมีการดำเนินการให้ชัดเจน มีระบบ และสามารถตรวจสอบได้ แต่โดยรวมแล้วการดำเนินธุรกิจก็ยังดำเนินการตามโรดแมปที่วางไว้ตั้งแต่แรก
โดยแผนระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ (2567-2569) จะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีโครงการที่จะเข้าบริหารรวมทั้งสิ้น 350 โครงการ จากปัจจุบันมีโครงการที่รับบริหารอยู่ 261 โครงการ มีลูกบ้านกว่า 400,000 ราย บนพื้นที่กว่า 11 ล้านตารางเมตร หรือมีโครงการใหม่ปีละประมาณ 20-30 โครงการ โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการของ LPN 60% และจากโครงการจากเอกชนรายอื่น 40% ที่แบ่งเป็นจากนิติบุคคลต่างๆ 50% และรับบริหารจากผู้ประกอบการอสังหาฯ 50% อาทิ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด(มหาชน) หรือ ANAN ,บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือ LH,บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW และบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เป็นต้น ซึ่งลูกค้ามีอัตราการต่อสัญญามากกว่า 90% จากลูกค้าปัจจุบัน ที่ทำให้บริษัทฯมีลูกคว่าประมาณ 80% ที่ใช้บริการต่อเนื่องมากกว่า 5 ปี
สำหรับความคืบหน้าในการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)นั้น คาดว่าจะยื่นคำขอเพื่อเสนอขาย (Filing) ได้ประมาณเดือนเมษายน 2567 นี้ โดยมีแผนที่จะกระจายหุ้นประมาณ 25-30% ของทุนเรียกชำระแล้ว และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้น ครั้งแรก ให้กับประชาชน(Initial Public Offering : IPO) ประมาณปลายไตรมาส 3/2567 หรือต้นไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้ต้องดูสภาวะตลาดที่เป็นบวก และการเมืองที่สงบนิ่งด้วย
ส่วนแผนการขยายธุรกิจใหม่ ในการบริหารงานขายและการตลาดแบบครบวงจร(Sole Agent) ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ประเดิมโครงการแรก “มิดทาวน์ เพชรเกษม – สาทร” ในรูปแบบทาวน์โฮม 3 และ 4 ชั้น จำนวน 49 ยูนิต ซึ่งจะเข้าไปบริหารตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 และในปีนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 1 ราย ซึ่งเป็นแลนด์ลอร์ดที่มีดินย่านสุขุมวิทและเงินทุน ซึ่งมอบหมายให้บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จํากัด (LPS) เป็นที่ปรึกษาและเทิร์นคีย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับที่ดิน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้
นอกจากนี้ LPP ยังมองเห็นโอกาสในเรื่องการลงทุน โดยผลงานล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้เข้าบริหารจัดการหอพักนิสิต ในรูปแบบสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาปรับปรุง (Renovate) พร้อมการบริหารจัดการพื้นที่หอพัก U-Center 1 และ 2 ด้วยงบลงทุนตลอดระยะสัญญากว่า 150 ล้านบาท ในการปรับปรุงอาคารและตกแต่งห้องพัก โดยมีสัญญาบริหารโครงการถึงเดือนพฤษภาคม 2574 ซึ่งบริษัทฯจะขยายโมเดลดังกล่าวไปสู่หอพักอื่นๆด้วย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับมหาวิทยาลัยของภาครัฐอีก 2 แห่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
อีกทั้งมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเป็นศูนย์รวมการให้บริการต่างๆ เพื่อลดค่าแรง และต้นทุน ซึ่งใช้งบในการลงทุนไม่ถึง 10 ล้านบาท โดยจะเริ่มจากการเข้าไปบริหารในโครงการขนาดเล็ก จำนวน 300 ยูนิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมผู้บริโภค ว่ายอมรับได้มากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทฯยังวางแผนขยายรับงานบริหารจัดการไปยังจังหวัดอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดยเน้นจังหวัดที่บริษัทแม่ LPN ได้เข้าไปลงทุน และพัฒนาโครงการไปแล้ว เช่น ชลบุรี อุดรธานี ชะอำ-หัวหิน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 1,880 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 20% และสามารถสร้างรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 2,545 ล้านบาท ภายในปี 2569 เติบโตขึ้น 12% (YOY) รายได้หลักจะมาจากธุรกิจบริหารจัดการชุมชนและทรัพยากรอาคาร มีรายได้ 1,357 ล้านบาท รองลงมาเป็นธุรกิจบริการวิศวกรรมและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ 823 ล้านบาท และรายได้ธุรกิจรักษาความปลอดภัยและรักษาความสะอาดอีก 385 ล้านบาท