news-details
Business

“Xendit” บุกตลาดไทย สาขาที่ 4 ในภูมิภาค SEA เปิดให้บริการโซลูชันชำระเงินดิจิทัลครบวงจร คาดปีแรกมีผู้ใช้บริการกว่า 2 หมี่นราย/วัน เล็งเวียดนามเป็นเป้าหมายลำดับที่ 5

กระเเสเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตต่อเนื่อง “Xendit”สตาร์ทอัพยูนิคอร์น สัญชาติอินโดนีเซีย เดินหน้ากลยุทธ์บุกตลาดฟินเทคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ล่าสุดขยายฐานมาไทยเป็นแห่งที่ 4 ในภูมิภาค ภายใต้พันธกิจ “Making Payments Simple”เปิดให้บริการโซลูชันทางการเงินดิจิทัลแก่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ตั้งเเต่ SMEs รายย่อยไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ช่วยให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่าย สะดวกสบายยิ่งขึ้น หวังเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ ในประเทศได้ขยายความสามารถทำธุรกรรมดิจิทัลในระดับภูมิภาคไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พร้อมดึง “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นที่ปรึกษา และ Chairman Xendit Thailand คาดปีแรกมีการใช้บริการจำนวนกว่า 20,000 Transactions/วัน เล็งเวียดนามเป็นเป้าหมายลำดับที่ 5

นายโมเสส เจียน เฮง โล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Xendit เปิดเผยว่า  เศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กำลังเป็นที่จับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก หลังมีเเนวโน้มเติบโตสดใสต่อเนื่อง ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 27% มาตั้งแต่ปี 2021(พ.ศ.2564) ด้วยหลายปัจจัยสนับสนุน ทั้งการขยายตัวของผู้บริโภคดิจิทัล การขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ๆ ความนิยมของอีคอมเมิร์ซ เเละการเติบโตของการเงินดิจิทัล

จากรายงาน e-Conomy SEA Report 2023 โดยความร่วมมือของ Google, Temasek และบริษัทที่ปรึกษา Bain & Company สำรวจกลุ่มเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ระบุว่า รายได้จากเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ในปี 2023(พ.ศ.2566) อยู่ที่ราว 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นสัดส่วน 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากธุรกิจคอมเมิร์ซ (E-commerce) การท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel) การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์​ (Transport & Food Delivery) และสื่อออนไลน์ (Online Media) ขณะที่อีกกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากบริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services) ซึ่งมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นบริการด้านการลงทุน การบริหารความมั่งคั่ง สินเชื่อ การชำระเงิน ประกันภัยและอื่นๆ  

ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการชำระเงินดิจิทัลในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายและเป็นโอกาสของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการการแข่งขันทางเทคโนโลยีและสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย และคาดการณ์ว่าในปี 2030(พ.ศ.2573) จะเติบโตได้ถึงระดับ 100,000 – 165,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ Xendit สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น ดาวรุ่งด้านการชำระเงินระหว่างธุรกิจแบบการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน(Business-to-Business : B2B) รายเเรกในอินโดนีเซีย  เดินหน้ากลยุทธ์ขยายการเติบโตสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)อย่างต่อเนื่อง พร้อมความมุ่งมั่นที่จะช่วยส่งเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ผ่านการนำเสนอบริการโซลูชันที่เหมาะสมกับตลาดและความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน

Xendit เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินที่มีรากฐานแข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งให้บริการโซลูชันทางการเงินแก่ธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ SMEs ขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อช่วยให้ขั้นตอนในการชำระเงินสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเป็นผู้จัดหาระบบพื้นฐานทางการชำระเงินที่ปลอดภัยและง่ายต่อการทำงานร่วมกันกับลูกค้า พร้อมทั้งมีทีมงานมืออาชีพที่คอยดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้รับบริการที่ดีที่สุด ภายหลังจากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2015(พ.ศ.2558)  Xendit ได้รับความเชื่อมั่นจากธุรกิจต่างๆ ในอินโดนีเซียและรัฐบาล โดยได้เป็นผู้ดูแลโซลูชันทางการเงินให้แก่บริษัทชั้นนำอย่าง Traveloka, Garuda Indonesia และ Tech In Asia เป็นต้น” นายโมเสส กล่าว

จากความสำเร็จที่น่าประทับใจในอินโดนีเซีย Xendit จึงได้ต่อยอดขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซีย อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีปรับกลยุทธ์การให้บริการตามพื้นที่และความต้องการของธุรกิจในประเทศนั้นๆ เพื่อช่วยผลักดันให้ธุรกิจมีการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้งานที่แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ สำหรับปี 2024(พ.ศ.2567) นี้ Xendit มีความพร้อมที่จะเป็นผู้ให้บริการพื้นฐานการชำระเงินในระดับภูมิภาค ภายใต้พันธกิจ “Making Payments Simple” ช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยได้ขยายความสามารถในการทำธุรกรรมดิจิทัลในระดับภูมิภาคไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพียงเชื่อมต่อกับระบบที่ทันสมัยของ Xendit พร้อมกับการขยายธุรกิจในประเทศไทยครั้งนี้ ซึ่งเป็นประเทศที่ 4 โดยร่วมผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีการเงินในประเทศไทยต่อไปอย่างยั่งยืน

"การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเพิ่มฐานลูกค้าใหม่เท่านั้น แต่เรายังเชื่อมั่นในการทำให้ธุรกิจมีพลัง ด้วยเครื่องมือที่พวกเขาต้องการเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ สำหรับ Xendit เป้าหมายของเราคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินดิจิทัลที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และช่วยทำให้กระบวนการชำระเงินเป็นเรื่องง่าย สะดวก และรวดเร็ว สำหรับการขยายตลาดเข้าสู่ประเทศไทยในครั้งนี้ เรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ก้าวต่อไป เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้กับทุกๆ คนในอุตสาหกรรมนี้" นายโมเสส กล่าว

สำหรับประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการใช้บริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผู้ให้บริการที่เป็นสถาบันการเงินในไทยที่ร่วมกันพัฒนาระบบการชำระเงินผ่านดิจิทัลที่สะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำ รวมถึงความร่วมมือจากภาครัฐที่ช่วยกันผลักดันให้ระบบการชำระเงินผ่านดิจิทัลของไทยสามารถออกมาเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมได้ รวมทั้งมีผู้ให้บริการ Fintech หลายรายที่เข้ามาร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นและเทคโนโลยีใหม่ๆให้กับระบบ Fintech ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยลดต้นทุนในการธุรกรรมการเงิน

โดยที่จุดเด่นของ Xendit ที่โดดเด่น คือ ความง่ายในการเชื่อมต่อระบบ ซึ่ง Xendit มีเครือข่ายระบบที่สามารถเชื่อมต่อกับผู้นำเทคโนโลยีเจ้าใหญ่ในตลาดได้ สามารถทำให้การทำงานของระบบรวดเร็ว และส่งผลให้การทำธุรกรรมทางการเงินเกิดความรวดเร็วตามไปด้วย พร้อมกับความรวดเร็วในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน และพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญสามารถนำสิ่งที่ประสบความสำเร็จจากประเทศอื่นมาต่อยอดการให้บริการในประเทศไทย ซึ่งในปีแรกของการให้บริการ คาดหวังมีจำนวน Transactions รวมกว่า 20,000 Transactions/วัน ส่วนการขยายไปประเทศอื่นมองว่าประเทศเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สนใจในการขยายการให้บริการออกไปเพิ่มเติม

ด้าน นางสาวเทเรเซีย แซนดร้า วิจายะ เทสซ่า  ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ Xendit กล่าวว่า ปัจจุบัน Xendit ให้บริการแก่ลูกค้ามากกว่า 6,000 รายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการทำธุรกรรมมากกว่า 320 ล้านครั้งต่อปี ผ่านการให้บริการรับชำระเงิน การโอนเงินข้ามประเทศ การดำเนินธุรกิจและการจัดการร้านค้า พร้อมด้วยบริการด้านการเงินดิจิทัลอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีลูกค้าครอบคลุมทั้ง SME รายย่อย สตาร์ทอัพด้านอีคอมเมิร์ซ และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดย Xendit มีแผนที่จะพัฒนาการให้บริการด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย พร้อมการบริการที่เต็มไปด้วยความคุ้มค่าและสามารถเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยจุดเด่นด้านบริการ ดังนี้ 

-Simple ให้บริการระบบชำระเงินที่ปลอดภัยและง่ายต่อการทำงานร่วมกัน

-Speed การตรวจสอบและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ทันใจ 

-Service พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยมาตรฐานการดูแลระดับโลก

โดย Xendit มีเป้าหมายที่จะมองหาและแก้ไขระบบการรับชำระเงินให้ตรงตามความต้องการของแต่ละบริษัท และพร้อมที่จะสร้างโซลูชันที่เหมาะสมกับตลาดการชำระเงินดิจิทัลในประเทศไทย โดยมีกลุ่มเป้าหมายตั้งเเต่ร้านค้าทุกขนาด สตาร์ทอัพที่มีฝันที่จะขยายธุรกิจไปสู่ระดับภูมิภาค ไปจนถึงบริษัทใหญ่ในภูมิภาค 

"เราเชื่อมั่นในการก้าวข้ามขีดจำกัดและพร้อมจะช่วยทำให้ธุรกิจในแต่ละประเทศมีพลังในการเติบโตมากยิ่งขึ้น จากการเชื่อมต่อระดับโลกและการทำธุรกรรมดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ ด้วยความเชี่ยวชาญที่เน้นการเข้าถึงในระดับท้องถิ่นและการมีมาตรฐานที่ดีที่สุดระดับโลกของเรา เราหวังว่าการนำเสนอโซลูชันทางการชำระเงินแบบดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมของเราเข้าสู่ประเทศไทยในครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้แก่อุตสาหกรรมดิจิทัลไทยได้อย่างแน่นอน" นางสาวเทเรเซีย แซนดร้า วิจายะ กล่าว 

ทั้งนี้ Xendit เป็นผู้ให้บริการระบบการชำระเงินแบบไร้รอยต่อและง่ายต่อการใช้งานระดับภูมิภาคที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนในระดับท้องถิ่น สำหรับการขยายธุรกิจในประเทศไทยครั้งนี้ ได้ดึง “นายกรณ์ จาติกวณิช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาและเป็น Chairman ของ Xendit Thailand ด้วย

นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ปรึกษา และ Chairman ของ Xendit Thailand กล่าวว่า การชำระเงินเป็นฟันเฟืองที่สำคัญอย่างยิ่งในกลไกทางเศรษฐกิจโดยรวมในยุคดิจิทัลนี้ ระบบการชำระเงินที่แข็งแกร่งระดับโลกถือเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ โดยที่ Xendit จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินของไทย ตลอดจนร่วมงานโดยตรงกับธุรกิจในท้องถิ่นเพื่อส่งมอบบริการและเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งจะร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในทุกกิจกรรมของ Xendit Thailand

“การร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นการร่วมผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีการเงินในประเทศไทยต่อไปอย่างยั่งยืน” นยกรณ์ กล่าวในที่สุด 

 

 

 

 

You can share this post!