กลุ่มดุสิตธานีโดย “ดุสิต ฟู้ดส์” เดินหน้าขยายฐานธุรกิจอาหาร พร้อมสร้างซอฟท์ พาวเวอร์ให้กับอาหารไทย ด้วยการผนึกความร่วมมือกับ “ฟาร์ม ทู เพลท” เปิดตัว “ปิ่นโตฮับ” ภายใต้การบริหารของเซเวอร์ อีทส์ฯ ให้บริการในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมอาหาร “สตรีทฟู้ด” ชื่อดังของไทย พร้อมเสิร์ฟในรูปแบบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน ในรสชาติเดียวกับร้านดังต้นตำรับ โดยคงรสชาติ สุขอนามัย และสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสตรีทฟู้ดของไทย ตอกย้ำเป้าหมายของ “ดุสิต ฟู้ดส์” นำอาหารไทยสู่ตลาดโลก มั่นใจขยายโอกาสให้ธุรกิจอาหารSMEs ไทยก้าวสู่ระดับสากล พร้อมประกาศความร่วมมือ“แกร็บ ฟู้ด” เป็นช่องทางสั่งอาหาร ส่งถึงหน้าบ้าน เผยเฟสแรกมีร้านดังเข้าร่วมแล้ว 21 ราย
นางสาวมณิศา มิตรไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ และบริษัท ฟาร์ม ทู เพลท โพรเซสเซอร์ จำกัด ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท เซเวอร์ อีทส์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน (ready to eat) ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 51% และ 49% ตามลำดับ ล่าสุด “เซเวอร์ อีทส์” พร้อมแล้วกับการเปิดตัวแพลตฟอร์มภายใต้ชื่อ “ปิ่นโตฮับ” (PintoHub) แพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมอาหาร “ร้านดัง”และ “สตรีทฟู้ด” ชื่อดังของไทย ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงของผู้บริโภคที่ไม่ได้กระจายกว้างขวางเหมือนร้านอาหารขนาดใหญ่ แต่เป็นร้านดังที่มีเอกลักษณ์และรสชาติอาหารเฉพาะตัว รวมถึงเมนูโบราณ หาทานยาก โดยในช่วงแรก “ปิ่นโตฮับ” ได้รวบรวมร้านเด็ดเมนูดังไว้ในแพลตฟอร์มแล้ว 21 ร้าน จำนวน 66 เมนู ซึ่งจะเป็นคัดเลือกเมนูอาหารจานเดียวจากแต่ละร้าน และแต่ละร้านจะส่งสูตรให้กับบริษัทฯเพื่อปรุงอาหารได้ตรงตามต้นตำรับ แต่ทางบริษัทฯต้องการันตีเมนูโดยร้านอาหารนั้น เพื่อสร้างความจดจำให้กับผู้บริโภค ซึ่งราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่ 70 บาทขึ้นไป
“ปิ่นโตฮับ เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยคนตัวเล็กหรือธุรกิจอาหารเอสเอ็มอีของไทย ที่เราจะเข้าไปช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคได้สัมผัสกับอาหารไทยได้กว้างขวางขึ้น จนถึงการสร้างซอฟท์ พาวเวอร์ด้วยการต่อยอดขยายธุรกิจอาหารเอสเอ็มอีของไทยไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจหลักของ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ และกลุ่มดุสิตธานี นั่นคือ Bring Asian Food to The World และด้วยความร่วมมือของ ‘ฟาร์ม ทู เพลท’ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีเทคโนโลยีทั้งด้านการพัฒนาสูตรอาหาร จนได้รสชาติเดียวกันกับร้านต้นตำรับ ซึ่งผ่านการรับรองรสชาติจากร้านต้นตำรับแล้ว ขณะเดียวกัน อาหารร้านเด็ดเมนูดังทุกรายการบนแพลตฟอร์ม ‘ปิ่นโตฮับ’ ยังเก็บคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างครบถ้วน ถูกสุขอนามัย และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับร้านอาหารไทย และสตรีทฟู้ดส์ของไทยอีกด้วย” นางสาวมณิศา กล่าว
สำหรับร้านอาหารที่รวบรวมใน “ปิ่นโตฮับ” จำนวน 21 ร้าน เป็นร้านจากจังหวัดเชียงใหม่ 6 ร้าน ภูเก็ต 1 ร้านและกรุงเทพฯ 14 ร้าน อาทิ บ้านยี่สาร อาหารไทย, ขาหมูเลิศรส, ก๋วยจั๊บกำลังภายใน, ข้าวพระรามลงสรง (เล้าโอว) , ข้าวซอยซอกกำแพงดิน, ข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่าม, โจ๊กสดใส, ครัวจงจิต เป็นต้น โดย “ปิ่นโตฮับ” จะทำงานร่วมกับเจ้าของร้านในการพัฒนาสูตรเป็นกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และมีรสชาติเหมือนต้นตำรับ และแต่ละเมนูที่วางขายจะอยู่ภายใต้ชื่อเดิมของ SMEs เจ้าของแบรนด์นั้นๆ โดยทุกๆ เมนูที่ขาย ทางSMEs เจ้าของแบรนด์จะส่วนรับแบ่งรายได้เป็นเปอร์เซนต์
ในส่วนของช่องทางการจำหน่ายของ “ปิ่นโตฮับ” จะดำเนินการผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทาง ONLINE คือ การเสิร์ฟอาหารผ่านช่องทางดิลิเวอรี่ ซึ่ง “ปิ่นโตฮับ” ได้ผนึกความร่วมมือกับ“แกร็บ แท็กซี่” (Grab Taxi) ในการเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ ที่จะอำนวยความสะดวกในการจัดส่งอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทานถึงบ้านลูกค้าจากจุดให้บริการ 10 แห่งครอบคลุมพื้นที่หลักในกรุงเทพ ตอกย้ำแนวคิดหลักในการ “นำความอร่อยมาไว้ใกล้บ้าน” ของ “ปิ่นโตฮับ” โดยมีโปรชั่นในแอปพลิเคชัน Grab Taxi หากสั่งซื้อครบ 300 บาท และพิมพ์คำว่า “pintohub” จะได้รับส่วนลดครั้งเดียว 25% ขณะเดียวกัน ยังมีช่องทาง ONSITE ในรูปแบบ “คีออส” (Kiosk) ที่ลูกค้าสามารถซื้ออาหารกลับไปทานที่บ้านได้ หรือรูปแบบหน้าร้าน ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาทานที่หน้าร้านหรือซื้อกลับบ้านได้
นอกจากโซลูชั่นของ “ปิ่นโตฮับ” จะเป็นการช่วยขยายโอกาสให้กับธุรกิจอาหาร SMEs ของไทยและสตรีทฟู้ดไทยไปทั่วโลกแล้ว การสร้างแพลตฟอร์มที่รวบรวมอาหารริมทางที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยมาไว้ในที่เดียว ยังเป็นการปกป้องมรดกทางอาหารที่มั่นใจได้ว่า สูตรอาหารและรสชาติอันล้ำค่าเหล่านี้จะไม่สูญหายไป ขณะเดียวกัน ยังสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนซึ่งเป็นท้องถิ่นของเจ้าของอาหาร ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของกลุ่มดุสิตธานี และดุสิต ฟู้ดส์ ที่การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะคำนึงพื้นฐาน 4 ประการ นั่นคือ อาหารจากธรรมชาติ (Be Natural) อาหารออร์แกนิคส์ (Be Organic) อาหารเพื่อสุขภาพ (Be Healthy) และการช่วยเหลือและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (Support The Local Community) ขณะเดียวกัน กลุ่มดุสิตธานียังมองเห็นโอกาสในการขยายช่องทางการจำหน่ายอาหารที่รวบรวมไว้ใน “ปิ่นโตฮับ”เพื่อให้บริการในโรงแรมของกลุ่มดุสิตธานีที่กระจายอยู่ทั่วโลกอีกด้วย
ด้านนายราจีฟ อนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาร์ม ทู เพลท โกลบอล จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ฟาร์ม ทู เพลท จะใช้ความชำนาญด้านนวัตกรรมในการคงรสชาติอาหารตามสูตรต้นฉบับ และเก็บรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ ขณะที่กลุ่มดุสิตธานี จะใช้ความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยต่อยอดให้กับร้านอาหารเอสเอ็มอีสามารถขยายสาขา เพื่อส่งต่อความอร่อยให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้นและกว้างขึ้น โดยพาร์ทเนอร์ร้านอาหารขนาดเล็กทั้ง 21 ร้าน จะได้รับการส่งเสริมให้เมนูยอดนิยมของแต่ละร้านเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และสามารถนำความอร่อยไปสู่ลูกค้าในต่างประเทศให้ได้สัมผัสประสบการณ์อาหารสตรีทฟู้ดส์ที่มีเสน่ห์ของไทยในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ “ปิ่นโตฮับ” คาดว่า ปี 2568 จะสามารถขยายจุดให้บริการ/สาขาผ่านช่องทางแฟรนไชส์ไปยังต่างจังหวัด โดยวางเป้าหมาย 50 จุดบริการ/สาขาในประเทศไทย ก่อนที่จะขยายแฟรนไชส์ “ปิ่นโตฮับ” ไปในต่างประเทศในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
เกี่ยวกับ “ปิ่นโตฮับ”
ปิ่นโตฮับ คือ ศูนย์รวมของเมนูสตรีทฟู้ดส์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “เจ้าเด็ดเมนูดัง” ในประเทศไทย โดยการรวบรวมและคัดสรรเมนูขึ้นชื่อจากร้านอาหารเล็กๆ เหล่านี้ ส่งตรงถึงบ้านคุณได้ง่ายๆ ไม่ต้องต่อคิว นอกจากความสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังได้ทานอาหารที่เป็นสูตรต้นตำรับ ครบถ้วนด้วยคุณค่าทางอาหาร อร่อย สะอาด และได้มาตรฐานอีกด้วย
ปิ่นโตฮับ เป็นแบรนด์ที่เกิดจากการร่วมมือกันของ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด (DF) กับบริษัท ฟาร์ม ทู เพลท โพรเซสเซอร์ จำกัด (F2P) โดยมีแนวคิดหลักคือการส่งเสริมสนับสนุน Softpower ของไทย ในการนำ Thai Street Food ไปสู่เวทีโลก สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มดุสิตในการ Bring Asian Food to the World โดยการการรักษาตำรับอาหารจานเด็ดของร้านอาหารเล็กเจ้าดังในประเทศไทยให้คงอยู่ ช่วยรักษาสูตรอาหารต้นตำรับ และแปลงเป็นสูตรมาตรฐานที่สามารถผลิตจากครัวกลางได้ ร้านเล็กเจ้าดังหรือ SME ที่เข้าร่วมโครงการก็จะได้รับการแบ่งปันรายได้ในการขายด้วย เป็นการทลายข้อจำกัดของ SME ที่ขาดความสามารถในการเติบโต ด้วยการช่วยต่อยอด เพิ่มศักยภาพและขยายขอบเขตในการจำหน่ายอาหารของเมนู ให้สามารถกระจายไปได้ทั่วเมืองไทย และไปยังต่างประเทศในอนาคต