บิลท์แลนด์ เผยหลังชะลอแผนช่วงวิกฤติโควิต-19มา 4 ปี ประกาศพร้อมรุกเต็มปรับพอร์ตการพัฒนาธุรกิจครั้งใหญ่ ทั้งอสังหาฯพื่อการขายและสร้างรายได้ระยะยาว เตรียมผุดรร.แห่งที่ 2 ย่านงามวงศ์งาน มูลค่าลงทุน 400 ล้านบาท และรุกผุดแนวราบ 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่า กว่า 4,700 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 แบรนด์ใหม่ 5 โครงการ-มิกซ์โปรเจกต์ เจาะตลาดลักชัวรี่มากขึ้น ทั้งขยายขอบเขตธุรกิจสู่การสร้าง Ecosystem ของธุรกิจอสังหาฯ ดัน “บิลท์ฮาร์ท” เติบโตด้วยธุรกิจบริการอสังหาฯ รอบด้าน
นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากวิกฤติโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯได้ชะลอแผนการลงทุน แต่ในขณะเดียวกันบริษัทฯก็ได้ทยอยลงทุนซื้อที่ดินเก็บไว้ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2567 นี้ ได้เตรียมเปิดตัวโรงแรมแห่งที่ 2 ใกล้พันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ราคาประมาณ 1,000 บาท/คืน มูลค่าการลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อขาย ทางบิลท์แลนด์ฯหันมาเจาะกลุ่มตลาดแนวราบ โดยเปิดตัวโครงการแนวราบให้ครอบคลุมทุก Segment รวม 6 โครงการ และพัฒนา 3 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ MYRRA, TERRA, และ LAKE TEMPO ซึ่งเป็นบิ๊กมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดย่านไทรน้อย บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ รวมทุกโครงการมีมูลค่ากว่า 4,700 ล้านบาท พร้อมวางกลยุทธ์งานธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ แบบรอบด้าน เพื่อเตรียมขยายขอบเขตธุรกิจ และเอื้อประโยชน์ให้กับลูกบ้านแบบครบวงจร
“เราอยู่ในแวดวงอสังหาฯมากว่า 30 ปี และก่อตั้งบิลท์แลนด์ฯมาประมาณ 15 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเปิดโครงการคอนโดฯ ไปแล้ว 8 โครงการ และโครงการแนวราบอีก 6 โครงการ รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 7,480 ล้านบาท และสามารถปิดการขายได้ตามระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา เราได้ตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับบริษัท ได้แก่ อาคาร B Work ซึ่งเป็นอาคารสำนักงาน และ Co-Working & Event Space ย่านแจ้งวัฒนะ พร้อมกับพัฒนาโรงแรม Koo Hotel ซึ่งเป็น Stylish Budget Hotel จำนวน 79 ห้อง ราคากว่า 1,000 บาท/คืน เพื่อรองรับทั้งนักท่องเที่ยวและผู้มาประชุมสัมมนาที่ Impact เมืองทอง ซึ่งการเปิดตัวทั้ง 2 โครงการดังกล่าว สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนกลับมาได้เป็นอย่างดี” นายชัยรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้บิลท์แลนด์ฯ มุ่งสร้างการเติบโตแบบรอบทิศทาง คือ การพัฒนาธุรกิจหลัก และต่อยอดธุรกิจรองให้เติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง โดยวางโครงสร้างให้การบริหารงานชัดเจนยิ่งขึ้น โดย บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทแม่ ซึ่งมีบริษัทลูกคือ บริษัท บิลท์แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทำธุรกิจพัฒนาทั้งโครงการเพื่อขาย และเพื่อเช่า (Project Development) เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม โฮมออฟฟิศ โรงแรม และอาคารสำนักงาน เป็นต้น ส่วนบริษัท บิลท์ฮาร์ท จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการให้บริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร พร้อมพันธมิตรหลากหลายแขนง (TOTAL PROPERTY SOLUTION) ได้แก่ การบริหารด้านการขาย-เช่าอสังหาริมทรัพย์ (Property Agent), ธุรกิจบริการด้านการบริหารและจัดการด้านโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Sales Management), บริการให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Business Development Consultancy), บริการบริหารจัดการด้านออกแบบและก่อสร้าง (Construction Management) และ การบริหารและจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management)
“การวางโครงสร้างแบบค่อยเป็นค่อยไปศึกษาตลาด ความต้องการของลูกค้า มองหาทำเลที่เหมาะสม และมองความเป็นไปได้ในการขยายธุรกิจ พร้อมนำศักยภาพและประสบการณ์ความเชี่ยวชาญต่างๆ มาพัฒนาองค์กร เพื่อต่อยอดสร้างโครงสร้างธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของบิลท์แลนด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างชีวิตที่ดีภายใต้ความธรรมดาที่เป็นสุข โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการอยู่ได้จริงแล้ว ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนด้าน Ecosystem เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และคืนธรรมชาติให้กับระบบนิเวศด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แต่ละโครงการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเมืองที่ยั่งยืน ผมมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่น่าจับตามองสำหรับบิลท์แลนด์ครับ” นายชัยรัตน์ กล่าว
ด้านนายวิฑูรย์ อภิวาทธนะพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯพร้อมเปิดตัวโครงการแนวราบทั้งสิ้น 6 โครงการ โดยเป็นแบรนด์เดิม 1 โครงการได้แก่ “ริทโม พาร์ควิว ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ” (RITMO PARKVIEW) โครงการบ้านแฝด สไตล์ Nordic ผสานการใช้ชีวิตให้มีความสุข ที่กระจายพื้นที่สีเขียวทั่วโครงการ บนแหล่งไลฟ์สไตล์ใหม่ แยกราชพฤกษ์ตัดแจ้งวัฒนะ จำนวนเพียง 72 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 4.77 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 360 ล้านบาท และอีก 5 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ MYRRA 1 โครงการ , TERRA 3 โครงการ และ LAKE TEMPO ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพัฒนามา โดยทุกแบรนด์ล้วนถูกพัฒนาขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ ‘BUILT FOR BETTER LIFE’ ที่เน้นพื้นที่สีเขียวยั่งยืนในส่วนกลาง และเพิ่มสวนแนวตั้งในบ้าน ให้เป็น DNA ของแต่ละแบรนด์ที่สอดคล้องแนวคิดโครงการแต่ละระดับราคาที่แตกต่างกัน โดยแต่ละโครงการมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
-แบรนด์ MYRRA บ้านในอุทยานไม้หอม โครงการบ้านเดี่ยวที่มาพร้อมกับการออกแบบ Layout ที่เข้าใจผู้อยู่อาศัย บริหารพื้นที่เป็นอย่างดี ในราคาเริ่มต้นที่ 6.9 ล้านบาท ขึ้นไป โดยคำว่า MYRRA มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินที่แปลว่า ไม้หอม ทำให้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ MYRRA จะถูกเน้นให้ประดับด้วยไม้หอมทั้งไม้ไทย และไม้ต่างประเทศ ขนาดใหญ่-เล็กผสานกันไป เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ซึมซับถึงธรรมชาติ และรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ในโครงการ
-แบรนด์ TEMPO MYRRA – (เทมโป ไมร์ร่า พระราม 5 – สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ฯ) โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด สไตล์ Modern European จำนวน 90 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 6.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Aromatic Life Miracle of Living เพื่อสร้างบรรยากาศทั้งภายในและบริเวณนอกบ้านให้อบอวลไปด้วยธรรมชาติบำบัดจากกลิ่นของ Aromatic Garden ขนาดใหญ่ อีกทั้งบริเวณทางเข้าโครงการถูกออกแบบเป็นเปลือกไม้ขนาดใหญ่ ที่ซ่อน Oasis Club คลับเฮ้าส์ส่วนกลางรับแขก พร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส
-แบรนด์ TERRA (Terrarium) โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูง โดยแนวคิดโครงการ คือ การจำลองระบบนิเวศของธรรมชาติไว้ในขวดแก้ว เสมือนการสร้างโลกสงบสุขเล็กๆ ส่วนตัว ซ้อนกับโลกใบใหญ่ที่วุ่นวาย
-TERRA HAUS (เทอร์ร่า เฮาส์ วิภา-พหล21) แบรนด์บ้านเดี่ยวลักชัวรี่ 3 ชั้น กลางเมือง ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 21 ติด BTS สถานีพหลโยธิน 24 บนพื้นที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา โดยมีพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 400 ตารางเมตร จำนวนเพียง 6 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นหลังละ 58 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท เป็นบ้านที่เน้นการออกแบบความเป็นส่วนตัวสูง เสมือนหนึ่ง Terrarium กลางเมือง พร้อมด้วยลิฟต์ ห้องเอนกประสงค์ สระว่ายน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งความสงบเป็นส่วนตัว ใจกลางเมือง ที่คงอัตลักษณ์ความเป็นตัวตน พร้อมการเดินทางที่สะดวกสบาย
- TERRA QUARTER (เทอร์ร่า ควอเตอร์ แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด 35) โครงการบ้านเดี่ยวลักชัวรี่ 3 ชั้น ใจกลางแจ้งวัฒนะ ตั้งอยู่ซอยแจ้งวัฒนะ 35 ใกล้รถไฟฟ้าสถานีศรีรัช บนที่ดินเริ่ม 35 ตารางวา จำนวนเพียง 4 ยูนิต ในราคาหลังละ 20 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 80 ล้านบาท
- TERRA CLOUD (เทอร์ร่า คลาวด์ ราชพฤกษ์ - ปิ่นเกล้า) โครงการบ้านเดี่ยวลักชัวรี่ 3 ชั้น ใกล้รถไฟฟ้าสถานีตลิ่งชัน ตั้งอยู่แยกราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า บนที่ดินเริ่ม 100 ตารางวา เพียง 9 ยูนิต ในราคาหลังละ 50 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท
-แบรนด์ Lake Tempo บิ๊กมิกซ์ยูส เป็นโครงการ Mix Used Residential ผสมผสานทั้งบ้านแฝด บ้านเดี่ยว และวิลล่าริมน้ำ ถือเป็นโปรเจกต์ยักษ์ของบิลท์แลนด์ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ บนที่ดินแลนด์แบงก์ของบริษัท บริเวณอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี มูลค่ากว่า 2,760 ล้านบาท ซึ่งมีแผนที่จะเปิดตัวปลายปี 2567 โดยขุดทะเลสาบขนาดใหญ่กว่า 20 ไร่ กลางโครงการ เพื่อสร้าง Magnet และพัฒนาให้แต่ละโครงการสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบทะเลสาปได้ทุกวัน พร้อมเนรมิตทิวป่าสนให้เป็น Buffer Zone เพิ่มความรู้สึกถึงผืนป่าที่ปกคลุมหมู่บ้าน โดยภายในโครงการ Lake Tempo จะแบ่งเป็น 4 โครงการย่อย เพื่อรองรับทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุก Segment ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด วิลล่าหรูขนาดใหญ่ จัดแบ่งพื้นที่ในโครงการด้วยสวนป่าขนาดใหญ่ พร้อมด้วย Lake Plaza ซึ่งเป็น Shop Stand Alone อีกประมาณ 20 ร้านค้า
“ซึ่งทั้ง 6 โครงการดังกล่าว เราพร้อมเปิดขายภายในปีนี้ โดยโครงการแรกที่เปิดขายไปแล้ว คือ TEMPO MYRRA ด้วยรูปแบบโครงการที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าในราคาที่จับต้องได้ ทำให้ทันทีที่เปิดขายเฟสแรก สามารถปิดการขายได้ภายในช่วง Soft Opening สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เรามั่นใจว่าทุกโครงการที่เปิดขายในปีนี้ จะได้รับความสนใจและตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นกัน เนื่องจากเรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าตาม life stage ของตัวผู้บริหารเอง และอินไซด์ถึง lifestyle ของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อเติมเต็มความต้องการที่เป็น unknown need เข้าไป คือ บริการความคาดหวังและความต้องการของลูกค้า ในขณะที่บางครั้งลูกค้าก็อาจจะยังไม่รู้ความต้องการของตัวเองที่แน่ชัด นั่นเป็นสิ่งที่ทีมงานเราทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาสินค้าให้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ที่สุด โดยคาดว่าทั้งโครงการ RITMO PARKVIEW และ TERRA HAUS ที่กำลังจะเปิดขาย จะสามารถปิดการขายได้ในปีนี้อย่างแน่นอน ส่วน LAKE TEMPO ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของเรา บนพื้นที่ย่านไทรน้อย เราจะค่อยๆ ทยอยเปิดขาย คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จภายใน 6 ปี และมั่นใจว่าจะเป็นโครงการฯ ที่ทำให้พื้นที่ไทรน้อยเป็นที่รู้จัก และกลับมามีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกครั้ง” นายวิฑูรย์ กล่าว
ทั้งนี้จากความสำเร็จของ B Work ที่ทำเป็นอาคารสำนักงานเพื่อเช่า และ Co-working Space และโรงแรม Koo Hotel ซึ่งทั้ง 2 โครงการตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ ติดรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู สถานีศรีรัช ด้วยปัจจัยหลักด้านความสะดวกในการเดินทาง ทั้งคนที่ต้องเดินทางมาทำงาน มาประชุมที่ Impact เมืองทองธานี คนที่เช่าอาคารสำนักงาน หรือนักท่องเที่ยวก็ดี ทำให้ทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
“ B Work ซึ่งเป็น Co Working Space และบริการห้องประชุม ห้องอบรมสัมมนา ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดโครงการ ส่วน Koo Hotel เป็นโรงแรม Stylish Budget Hotel มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 50% และคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักเพิ่มมากขึ้นเมื่อโรงแรมเป็นที่รู้จักมากขึ้น อีกทั้งกำลังพัฒนาโรงแรมภายใต้แบรนด์ Koo Hotel แห่งที่สอง ย่านงามวงศ์วาน เพื่อเตรียมรองรับจำนวนลูกค้าที่คาดว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต”นายวิฑูรย์ กล่าว
เกี่ยวกับบริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน)
บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 400 ล้านบาท (ชำระเต็ม) โดยมีบริษัทย่อยอีก 2 บริษัท คือ บริษัท บิลท์แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท (ชำระเต็ม) โดยดำเนินธุรกิจพัฒนาทั้งโครงการเพื่อขาย และเพื่อเช่า ปัจจุบันพัฒนาโครงการแนวราบ และแนวสูงไปแล้วถึง 14 โครงการ มูลค่ารวม 7,480 ล้านบาท และมีแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องอีกถึง 4,700 ล้านบาท และ บริษัท บิลท์ฮาร์ท จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท (ชำระเต็ม) ดำเนินธุรกิจด้านการให้บริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร