กลุ่ม “ดิ ไอโคนิค”สบช่องแตกไลน์ธุรกิจโรงแรมสู่อสังหาฯเพื่อการขาย นำร่องแลนด์แบงก์ย่านเพชรเกษม 48 ผุดบ้านหรู“SOL MIDTOWN เพชรเกษม – สาทร” ราคาเริ่มต้น 12.5-18 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 624 ล้านบาท พร้อมดึง LPP เข้าบริหารโครงการเสริมแกร่ง ทั้งจ่อผุดมิกซ์ยูสโปรดักส์ 2 ทำเลในจังหวัดภูเก็ต รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ไม่หวั่นการแข่งขันดุเดือด เงินในกระเป๋าตุง เมินกู้แบงก์พร้อมลงทุนเองทุกโครงการเต็มสูบ ตั้งเป้า 5 ปีปักหลักทำเลฝั่งธนฯ หัวเมืองท่องเที่ยว พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และสัดส่วนรายได้ธุรกิจเพื่อขาย-สร้างรายได้ระยะยาว อยู่ที่ 50:50
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP ผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า LPP เดินหน้าขยายธุรกิจให้ครอบคลุมและครบวงจรมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านงานอสังหาฯ และด้วยความเชี่ยวชาญในด้านงานบริหารงานขายและงานเช่าที่สั่งสมประสบการณ์มายาวนาน LPP จึงแตกไลน์ธุรกิจ Sole Agent ขึ้นมา เพื่อดูแลผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่ต้องการทีมงานด้านการตลาดและงานขายมืออาชีพเข้าไปช่วยสนับสนุน โดยล่าสุด LPP ได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท ดิ ไอโคนิค พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ให้เข้ามารับหน้าที่ดูแลงาน Sole Agent บริหารงานขายและการตลาดเต็มรูปแบบ โครงการ “SOL MIDTOWN เพชรเกษม – สาทร” และเป็นโครงการแรกที่ LPP รับบริหารจัดการงานขายและการตลาด ซึ่งถือเป็นการขยายอีกหนึ่งบริการของกลุ่ม LPP ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ LPP ได้เริ่มเปิดเกมรุกงาน Sole Agent เพื่อหนุนความสำเร็จของโครงการ SOL MIDTOWN ด้วยกลยุทธ์การใช้ฐานข้อมูลจากการสำรวจตลาดอาคารและที่อยู่อาศัย ให้เข้าถึงและครอบคลุมความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะสนับสนุนลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนพัฒนาโครงการ การเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สอดคล้องกับทำเลโครงการ การสร้างแบรนด์ รวมถึงการสื่อสารทางการตลาดแบบครบวงจรเพื่อสร้างโอกาสในการขายให้แก่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัย การทำธุรกิจพร้อมการอยู่อาศัย หรือเพื่อการลงทุน ทั้งนี้เพราะศักยภาพของโครงการสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างครอบคลุมและตอบโจทย์ตรงความต้องการรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้อย่างมืออาชีพ โดย LPP มั่นใจด้วยศักยภาพการดำเนินงานและทีมงานที่มากประสบการณ์กว่า 30 ปี
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในทิศทางแนวบวก เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวของกลุ่ม "เรียลดีมานด์" ที่มีความสามารถที่จะซื้อ (Ability to Pay) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จของตลาดอสังหาฯ โดยโครงการ “SOL MIDTOWN เพชรเกษม – สาทร” จึงเป็นความท้าทายของ LPP ในการรุกงาน Sole Agent ที่จะสนับสนุนให้โครงการฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาที่พักอาศัยที่สามารถใช้งานร่วมกับพื้นที่ทำงานได้ หรือแม้แต่การซื้อเพื่อลงทุนในทำเลที่ดีใกล้ใจกลางกรุง ถือเป็นการตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ท่ามกลางสังคมส่วนตัวระดับ Exclusive
“จากประสบการณ์ของ LPP ที่ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการและอยู่ในตลาดอสังหาฯ มากว่า 30 ปี เราเชื่อมั่นว่าโครงการ SOL MIDTOWN จะประสบความความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะเราเล็งเห็นถึงศักยภาพของโครงการและจุดเด่นในเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา ทั้งในรูปแบบการอยู่อาศัยและการลงทุน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มนักธุรกิจได้อย่างตรงความต้องการ”นายสุรวุฒิ กล่าว
นายสุรวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้บริษัทฯยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาฯอีก 1-2 ราย ในการเป็น Sole Agent เป็นคอนโดมิเนียม ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
ด้านนายพริษฐ์ ทีฆคีรีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิไอโคนิค พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์ในการทำธุรกิจและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 10 ปี ในรูปแบบของโรงแรม ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างตน,นางสาวมาลินี อุดมเจริญกิจ และบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ดำเนินธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง, กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และผิวกาย, กลุ่มอุปกรณ์ความงาม, กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และอื่นๆ โดยทั้ง 3 กลุ่มถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งที่ผ่านมาเปิดให้บริการโรงแรมมาแล้ว 3 แบรนด์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ,เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ได้แก่ 1.แบรนด์ 7 Day Hotel ราคาประมาณ 1,200-2,500 บาท/คืน 2.แบรนด์ GLUR ซึ่งเป็นบัดเจท โฮเทล ราคาประมาณ 1,000 บาท/คืน และ 3.แบรนด์ไอโคนิค ราคา 2,000-3,500 บาท/คืน
ซี่งมองเห็นโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัย เพราะมีที่ดินที่ซื้อสะสมไว้ในกรุงเทพฯ หัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ไว้หลายแปลง จึงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจให้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะศักยภาพทางธุรกิจของที่ดินย่าน “เพชรเกษม 48” ซึ่งเป็น Landbank ส่วนหนึ่งของบริษัท และมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงอยากพัฒนาโครงการที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีมาพร้อมความสะดวกสบาย บนทำเลศักยภาพที่ถือว่าเป็นทำเลทองแห่งอนาคต เพราะราคาที่ดินเติบโตขึ้นโดยมีมูลค่าราคาที่ดินสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยจากปี 2563 ถึงปัจจุบัน ราคาที่ดินพุ่งขึ้นมาประมาณ 20-30% จึงเป็นที่น่าจับตามองของดีผู้ประกอบการหลายรายตัดสินใจเลือก “เพชรเกษม” เป็นพื้นที่ตั้งโครงการที่อยู่อาศัย ให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในย่านทำเลทองนี้
ซึ่งเป็นการร่วมทุนของทั้ง 3 กลุ่มเช่นเดิม โดยเริ่มจากโครงการ “SOL MIDTOWN เพชรเกษม – สาทร” ตั้งอยู่ในซอยเพชรเกษม 48 บนพื้นที่ 6 ไร่ พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “REAL RADIANT URBAN LIVING” เพื่อสะท้อน “สไตล์ที่เหนือกว่า ในมุมมองที่แตกต่าง” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยแบบ Modern Townhome และ Twin Home ระดับ Luxury สูง 3 และ 4 ชั้น บนที่ดินขนาด 27.44 – 44 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 222 – 275 ตารางเมตร จำนวนเพียง 49 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 12.5-18 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 624 ล้านบาท โดยเปิดขายมาแล้วประมาณ 1 เดือน ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 2 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2568
“การที่เราแตกไลน์ธุรกิจมาพัฒนาอสังหาฯเพื่อการขาย เพราะมองเห็นช่องว่างตลาด และศักยภาพของที่ดิน ประกอบกับมองว่าบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ยังมีปัญหารในเรื่องกู้สินเชื่อรายย่อย ที่แบงก์ค่อนข้างเข้มงวดมาก ดังนั้นเราจึงพัฒนาโครงการในระดับราคาที่ 12.5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้มีกำลังซื้อย่านฝั่งธนบุรีชื่นชอบ อีกทั้งการพัฒนาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เราไม่เคยกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่อย่างใด โดยเป็นการใช้เงินสดมาพัฒนาทั้งหมด และแม้ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่เพิ่งเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาฯ แต่ด้วยความที่เราดึง LPP มาเป็น Sole Agent ด้วยชื่อเสียงของ LPP ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารชุมชนมาช้านาน ทำให้ผลงานเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ซึ่งโครงการดิไอโคนิค มุ่งหวังให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสุขอย่างไม่สิ้นสุดจากเราเต็มที่ และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ LPP โดยเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของ LPP ที่จะร่วมกันส่งมอบที่พักอาศัยที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน และยึดมั่นที่จะพัฒนาโครงการที่พักอาศัย โดยคำนึงถึงความพึงพอใจและความสุขในการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง”นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อการขายนับจากนี้ว่า จะพัฒนาปีละประมาณ 1-2 โครงการ มูลค่าประมาณ 500-1.000 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเล โดยในระยะเวลา 3-5 ปีนี้ จะเน้นการพัฒนาในทำเลย่านฝั่งธนบุรีเป็นหลักก่อน เนื่องจากเป็นทำเลที่ตนอยู่อาศัยมาตั้งแต่เกิด จึงมีความคุ้นเคย
นอกจากนี้ในปี 2567 นี้ กลุ่มของตน,นางสาวมาลินี อุดมเจริญกิจ และบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ยังมีแผนเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการในจ.ภูเก็ต อีก 2 ทำเลด้วย คือ โครงการบริเวณพื้นที่อ.เมือง จ.ภูเก็ต บนพื้นที่ 18 ไร่ พัฒนาในรูปแบบวิลล่า ราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป ,คอนโดฯ ราคา 5-10 ล้านบาท โรงแรม 2 แห่ง คือ ระดับ 4 ดาว จำนวน 79 ห้อง และระดับ 5 ดาว จำนวน 140 ห้อง มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)
ส่วนอีก 1 โครงการตั้งอยู่บริเวณหาดราไวย์ บนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ พัฒนาเป็นพูลวิลล่า ในรูปแบบของวิลล่า ระดับ 5 ดาว จำนวนทั้งสิ้น 30 วิลล่า มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) เช่นกัน
“แม้ว่าภูเก็ตจะมีการแข่งขันที่สูงมาก แต่เรามองว่าเป็นแอสเสท ซึ่งที่ดินเมื่อซื้อไว้ราคาก็ไม่มีวันที่จะตก ประกอบการทุกโครงการที่เราพัฒนาไม่เคยกู้สถาบันการเงิน เป็นการใช้เงินทุนของเราลงทุนเองทั้งหมด จึงมีความพร้อมในการพัฒนา ซึ่งในอนาคตภายในระยะเวลา 5 ปี ก็อยากให้สัดส่วนรายได้จากโครงการที่พัฒนาเพื่อการขายและที่สร้างรายได้ระยะยาว อยู่ในระดับที่เท่ากันคือ 50:50”นายพริษฐ์ กล่าวในที่สุด