news-details
Business

แพทย์ชี้คนไทยขาดวิตามินดี เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน เฉลี่ยปีล่ะ 2.5-3% ของจำนวนประชากร

 

แสงแดดใครคิดว่า ไม่สำคัญแดดอ่อนๆในยามเช้าและช่วงเย็น ช่วยเพิ่มวิตามินดี ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หลายคนคิดว่า แสงแดดเป็นอันตรายต่อผิว สร้างริ้วรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ ทำให้มองข้ามประโยชน์ของแสงแดดไป จากการศึกษาพบว่าแสงแดดมีส่วนสำคัญในการป้องกัน โรคกระดูกพรุนและ ภาวะขาดวิตามินดี การออกกำลังกายรับแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดี ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งพบผู้ป่วยสูงถึง 2.5-3 % ของจำนวนประชากรไทย ในทุกเพศทุกวัย

นพ.พีรพงษ์ สวัสดิพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม และการฝังเข็มลดปวดตามศาสตร์แพทย์แผนจีน รพ.พระรามเก้า กล่าวว่า ในปัจจุบันคนไทยมีภาวะขาดวิตามินดีสูงมาก ยิ่งตรวจยิ่งเจอ และพบในทุกเพศทุกวัย เฉลี่ยคนไข้ 100 คน จะตรวจพบว่าคนไข้มีภาวะขาดวิตามินดีประมาณ 30-40% คนสาเหตุมาจากคนไทยกลัวแดดมากเกินไป  ในความเป็นจริงแสงแดดอ่อนๆในยามเช้า เมื่อซึมผ่านเข้าไปใน

ผิวจนถึงชั้นผิวหนัง จะช่วยให้ร่างกาสร้างวิตามินดีได้ดีมาก จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดภาวะเสี่ยงการเป็นโรคกระดูกพรุนในอนาคต เมื่อเข้าสู้วัยผู้สูงอายุ

การขาดวิตามินดีเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนอย่างไร หลายๆคนคงสงสัยและเกิดคำถามมากมายว่า เพราะอะไรเราต้องออกกำลังกายช่วงแดดอ่อนๆนพ.พีรพงษ์ สวัสดิพงษ์ ให้ข้อมูลต่อว่า วิตามินดีมีประโยชน์มากมาย เป็นตัวช่วยดูดซึมแคลเซียมที่รับประทานเข้าไปเพื่อเสริมสร้างกระดูกและป้องกัน โรคกระดูกพรุน  ยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่คาดไม่ถึง เช่นควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิตลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ อีกทั้งยัง คลายความเครียด ลดอาการโรคซึมเศร้า ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อคนไทยเกิดภาวะขาดวิตามินดี แน่นอนว่า กระดูกของเราจะไม่แข็งแรง เปราะบาง เกิดการหักได้ง่ายโดยปกติร่างกายจะสามารถสร้างเซลล์กระดูกที่ดีและแข็งแรงได้ถึงอายุ 30 ปี แต่หลังจากนี้ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะค่อยๆเสื่อมถอยลง และเมื่อเข้าสู่วัย60 ปี หรือผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะเปราะบางและหักง่าย มีการประมาณการว่าในปี 2568 จะมีผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักในประเทศไทยมากถึง 3หมื่นกว่าราย และเพิ่มขึ้นปีละ 2% จนในอนาคตอีก 25 ปีอาจมีผู้ป่วกระดูกสะโพกหักมากถึง 5 หมื่นรายต่อปีโดยพบสัดส่วนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า

โรคกระดูกพรุนเป็นเหมือนภัยเงียบ เพราะจะไม่แสดงอาการของโรค จนกว่าจะเกิดกระดูกหักนพ.พีรพงษ์ เปิดเผยข้อมูลต่อว่า จากการศึกษาทางการแพทย์ เริ่มมีการศึกษาเรื่องกระดูกพรุน อย่างจริงจังในช่วง 10-20 ปี ที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่าอาการกระดูกหัก เปราะบาง ในผู้สูงอายุ และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนคือ โรคกระดูกพรุนที่สะสมมานานเป็นเวลาหลายสิบปี

โรคกระดูกพรุนเกิดจากการสลายของเนื้อกระดูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้มวลกระดูกลดลง ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง เปราะบางทำให้มีโอกาสกระดูกหักผิดรูปได้ง่าย ระยะเวลาในการเกิดโรคหลายปีโดยปกติในร่างกายคนเรา จะมีเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์ทำลายกระดูก ที่ทำหน้าที่สร้างและสลายกระดูกอย่างสมดุลกัน โดยเซลล์สร้างกระดูกจะทำหน้านำแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมมาใช้สร้างกระดูกให้แข็งแรง แต่เมื่อกระดูกได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพตามอายุ เซลล์ทำลายกระดูกก็จะทำหน้าที่ย่อยสลายกระดูกในส่วนนั้น เพื่อให้เซลล์สร้างกระดูกมาทำหน้าที่สร้างกระดูกใหม่ชดเชยกระดูกส่วนที่ถูกสลายไป

อีกหนึ่งคำถามยอดฮิต เราจะรู้ได้ยังไงว่าเริ่มมีอาการของ โรคกระดูกพรุนแล้ว   นพ.พีรพงษ์ เล่าต่อว่า

โรคกระดูกพรุน คือ ภัยเงียบที่ทุกคนต้องระวัง โดยเราสามารถสังเกต 4 สัญญาณของโรคได้ดังนี้

1.ส่วนสูงลดลงมากกว่า 4 เซนติเมตรจากความสูงเดิม 

2.หลังค่อมงุ้มลงเนื่องจากกระดูกสันหลังแตกยุบ

3.มีอาการปวดกระดูกเรื้อรัง

4.กระดูกข้อมือหรือกระดูกสะโพกหักง่าย โดยอาการนี้มักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ส่วนสาเหตุในการเกิดรคกระดูกพรุน มีดังนี้

1.การขาดวิตามินดี

2.การขาดแคลเซียม

3.พันธุกรรมหากในครอบครัวมี ปู่ย่า  ตายาย ที่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน จะส่งผลให้ลูกหลานในครอบครัวมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงขึ้

4.เกิดจากการใช้ ยาบางชนิดที่ส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง เช่นสเียรอยด์ซึ่งใช้รักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคหอบหืดยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ยาต้านการแข็งตัวของโลหิต

5.การสูบบุหรี่ หรือการดื่มสุราเป็นประจำ

นพ. พีรพงษ์ กล่าวปิดท้าย ว่า วิธีง่ายๆในการป้องกัน โรคกระดูกพรุน คือ

1. ออกกำลังกายกลางแจ้งในบริเวณที่มีแสงแดดอ่อนๆสม่ำเสมอทุกวัน เน้นการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก

2.หากมีอาการปวดตามข้อหรือปวดกระดูกไม่ว่าจากสาเหตุใด ควรรีบปรึกษาแพทย์

3. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่น นมวัวชนิดไขมันต่ำหรือรับประทานแคลเซียมให้ได้ถึงวันละ 600 มิลลิกรัม หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม

4.งดการดื่มสุราและสูบบุหรี่

5.ไม่ควรซื้อยารับประทานเองเช่น ยาลูกกลอน เพราะอาจมีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้

6.ถ้าเป็นไปได้แนะนำตรวจวัดระดับวิตามินดีในร่างกายทุกๆปี หากพบว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

สำหรับวิวัฒนาการ การรักษาโรคกระดูกพรุนในปัจจุบัน ค่อนข้างจะทันสมัยมากขึ้นตามลำดับ โดยแพทย์จะเริ่มต้นการด้วยการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องเอกซเรย์สำหรับวัดความหนาแน่นของกระดูกโดยเฉพาะ ใช้ปริมาณรังสีเอกซเรย์ที่ต่ำกว่าการเอกซเรย์ทรวงอก และตรวจภาวะการขาดวิตามินดี เมื่อพบว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด แต่อาการของโรคอยู่ในระยะแรกเริ่ม แพทย์จะรักษาโดยการให้แคลเซียมและวิตามินดี ร่วมกับกระตุ้นให้ออกกำลังกาย แต่หากโรคกระดูกพรุนอยู่ในขั้นรุนแรงร่วมกับประเมินแล้วมีความเสี่ยงต่อกระดูกหักที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต แพทย์จะมีวิธีการรักษาดังนี้

1. การให้ยารักษาโรคกระดูกพรุนกลุ่มชี้เป้า โดยทานสัปดาห์ล่ะ 1 เม็ด หรือฉีดปีล 1 ครั้ง

2.
การฉีดยายับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูกโดยยาชนิดนี้จัดเป็นโปรตีน คือเป็น monoclonal antibody ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานเซลล์สลายกระดูก ซึ่งจะฉีด 6 เดือน ต่อ 1 เข็ม
 
3. ฉีดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ซึ่งสังเคราะห์เลียนแบบที่ร่างกายผลิตขึ้น ทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกให้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อได้อ่านข้อมูล โรคกระดูกพรุนที่คุณหมอกล่าวมาเบื้องต้นแล้ว หลายๆคนที่กลัวการออกกำลังกายกลางแดด ควรปรับทัศนคติและความคิดใหม่แสงแดดไม่ได้อันตรายอย่างที่เราคิด ร่วมกัการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ลดเค็ม เน้นโปรตีนที่เหมาะสม และหากท่านสังเกตว่าตัวเองหรือคุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่อายุมากกว่า 50 ปี มีอาการความเสี่ยงการเป็น โรคกระดูกพรุน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ โรงพยาบาลพระรามเก้า หรือWebsite: www.praram9.com / FB: Praram 9 hospital / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ@praram9hospital หรือโทร. 1270

You can share this post!