สิงห์ เอสเตทฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯไตรมาส 1/67 ยังไม่ฟื้นตัว มาตรการรัฐยังไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มระดับบน ขณะที่การแข่งขันตลาดลักชัวรีดุเดือดมากขึ้น แต่ดีมานด์มีวงจำกัด คาดการณ์หากปรับลดดอกเบี้ยและมีมาตรการกระตุ้นในครึ่งปีหลัง จะส่งสัญญาณบวกได้ดี ล่าสุดเตรียมเปิดบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 2 โครงการรวด รวมมูลค่า 4,600 ล้านบาท คาดถึงปลายปีกวาดยอดขายได้ 400-500 ล้านบาท จ่อผุดอีก 5 โครงการใหม่ ทั้งพัฒนาเองและร่วมทุน รวมมูลค่า 12,000 ล้านบาท
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วงไตรมาส 1/2567 ว่า ยังไม่ค่อยฟื้นตัวนัก แม้ว่าภาครัฐจะมีการออกมาตรการมากระตุ้นภาคอสังหาฯแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือกลุ่มตลาดระดับบน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอสังหาฯได้หันมาแข่งขันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในตลาดระดับบนมากขึ้น แต่ดีมานด์นั้นมีจำนวนจำกัด และสินค้าต้องตอบโจทย์ ทำให้ตลาดไม่ได้เติบโตมาก ดังนั้นแนวทางการพัฒนาของสิงห์ เอสเตทฯจึงพัฒนาโครงการที่เน้นระดับลักชัวรีขึ้นไป มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถจับต้องได้ คือก่อสร้างแล้วเสร็จก่อน จึงจะเปิดการขาย เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นของจริง และมีความมั่นใจในแบรนด์สินค้า
“มาตรการรัฐที่ขยายเพดาน ลดค่าธรรมเนียม การโอนกรรมสิทธิ์ - ค่าจดจำนอง 0.01% ให้กับ “ที่อยู่อาศัย” ที่มีราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จากเดิมจำกัดไม่เกิน 3 ล้านบาท เพราะมองว่าที่ผ่านมาปัญหาหนี้ครัวเรือนมีสูงมาก เพื่อเติมดีมานด์ที่หายไปจากตลาด ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวลดลงในครึ่งปีหลัง หรือภาครัฐยังมีมาตรการออกมากระตุ้นอีก ก็จะเป็นปัจจัยบวกให้กับภาครัฐอสังหาฯให้เติบโตได้ดีขึ้น”นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกทั้งปัจจุบันเทรนด์ของพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เนื่องจากอัตราการเกิดน้อย ดังนั้นการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยก็จะเลือกแบบคุ้มค่า อยู่อาศัยได้นาน 10-20 ปี จึงเป็นสาเหตุให้สิงห์ เอสเตทฯไม่ใช้ระบบการก่อสร้างแบบพรีคาสท์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนได้ และเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับลักชัวรีขึ้นไปถึงอัลตร้าลักชัวรี ซึ่งเป็นส่วนแบ่งตลาด 20% จากตลาดรวมที่อยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งมี 5 กลุ่มระดับราคา คือ แบรนด์ระดับราคา 10-20 ล้านบาท สัดส่วน 29% ,ระดับราคา 21-30 ล้านบาท สัดส่วน 46%,ระดับราคา 31-40 ล้านบาท สัดส่วน 10%,ระดับราคา 41-50 ล้านบาท สัดส่วน 10% และระดับราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 5%
ล่าสุดบริษัทฯได้เตรียมเปิดตัวบ้านหรูแบรนด์ใหม่ “SHAWN”(ฌอน)พร้อมกัน 2 โครงการในทำเลใกล้เคียงกัน คือ กรุงเทพฯโซนตะวันออก ได้แก่
1.โครงการ ฌอน ปัญญาอินทรา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 35 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่ สไตล์ MODERN TROPICAL CONTEMPORARY ขนาดตั้งแต่ 101-140 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 335-473 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 22-45 ล้านบาท จำนวน 72 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
2.โครงการ ฌอน วงแหวน - จตุโชติ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 46 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 2 ชั้นสไตล์ Modern Classic ขนาดตั้งแต่ 70-94 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 283-369 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 19-30 ล้านบาท จำนวน 158 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,800 ล้านบาท
โดยทั้ง 2 โครงการ จะเปิดพรีเซลในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2567 นี้ ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจซื้อโครงการละ 3-4 รายแล้ว โดยปัจจุบันดีมานด์ในเซกเมนต์บ้านระดับราคาดังกล่าว จะใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อที่นานขึ้น มากกว่า 7 วัน เพราะจะมีการเปรียบเทียบกับโครงการอื่นๆ ดังนั้นการตัดสินใจซื้อจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ และคาดว่าภายในปี 2567 นี้ ทั้ง 2 โครงการจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท
ส่วนในครึ่งปีหลัง 2567 จะมีการเปิดตัวอีก 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่สิงห์ เอสเตทฯพัฒนาเอง 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ 3 โครงการ และ คอนโดฯ แบรนด์ใหม่ บนพื้นที่ 24 ไร่ ที่อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 1 โครงการ และโครงการคอนโดฯ สูงประมาณ 28-30 ชั้น ย่านพระราม 3 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรอสังหาฯนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“ทุกโครงการที่เราพัฒนา เป็นการวางแผนไว้ในระยะยาว เน้นกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรีขึ้นไป โดยการพัฒนาจะเน้นความเป็นสิงห์ เอสเตทฯที่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน เพราะหากจะอยู่ในธุรกิจเรียลเอสเตทให้ได้ ต้องมีการขยายพอร์ตให้กว้างขึ้น ในเซกเมนต์ที่มีความมั่นใจและลูกค้าไว้วางใจด้วย”นายณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด