การรถไฟฯ ชี้แจงกรณีถนนและระบบไฟส่องสว่างชำรุด บริเวณถนนกำแพงเพชร 6 เหตุเกิดจากการ ขโมยตัดสายไฟ โดยอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการแก้ไข พร้อมเตรียมส่งมอบพื้นที่ให้กรุงเทพมหานครเข้าดูแล
นายเอกรัช ศรีอารยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อร้องเรียนกรณีถนนกำแพงเพชร 6 หรือถนนเลียบทางรถไฟช่วงจตุจักร-รังสิตใต้ ซึ่งอยู่แนวรถไฟฟ้าสายสีแดงมีการชำรุด และพบปัญหาไฟฟ้าส่องสว่างบางช่วงไม่ทำงานนั้น ล่าสุด การรถไฟฯ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขโดยทันที ซึ่งมีการดำเนินตามรายละเอียด ดังนี้
1. ถนนชำรุดเป็นหลุมบ่อ จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย
- พื้นที่ในเขตปทุมธานี จำนวน 2 จุด คือ จุดที่ 1 ช่วงสถานีรังสิต- คลองรังสิตประยูรศักดิ์ จุดที่ 2
ช่วงสถานีหลักหก โดยผู้รับผิดชอบก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง (ช่วงบางซื่อ-รังสิต) ซึ่งได้ดำเนินการซ่อมแซมจุดที่ 1 เสร็จเมื่อเดือนมกราคม 2567 และจุดที่ 2 เสร็จเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567
- พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 จุด คือ จุดที่ 1 ช่วงดอนเมือง จากแยกนายใช้-บมจ. ท่าอากาศยาน จุดที่ 2 ช่วงก่อนเข้าสถานีดอนเมืองฝั่งขาเข้า กทม. P347 จุดที่ 3 ช่วงก่อนเข้าสถานีทุ่งสองห้องฝั่งมาจากหลักสี่ จุดที่ 4 ช่วงก่อนเข้าสถานีบางเขนฝั่งมาจากทุ่งสองห้อง และจุดที่ 5 ช่วงวัดเสมียนนารีจนถึงแยกถนนงามวงศ์วานฝั่งขาออกกรุงเทพฯ ซึ่งทั้งหมดการรถไฟฯ อยู่ระหว่างเตรียมเข้าพื้นที่ และมีแผนจะทยอยซ่อมแซมแล้วเสร็จครบทุกจุด ภายในเดือนกรกฎาคม 2567
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการดูแลบำรุงถนนกำแพงเพชร 6 ให้มีสภาพเรียบร้อยพร้อมใช้งานในระยะยาว การรถไฟฯ ได้มีการหารือร่วมกับกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมส่งมอบถนนกำแพงเพชร 6 พร้อมระบบสาธารณูปโภคให้กับกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานมีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแลบำรุงรักษา โดยปัจจุบันการรถไฟฯ ได้ทำหนังสือส่งมอบถนนกำแพงเพชร 6 พร้อมระบบสาธารณูปโภคให้กับกรุงเทพมหานคร ไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพถนนเบื้องต้นร่วมกัน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 และในเดือนมิถุนายน 2567 การรถไฟฯ จะนำคณะกรรมการรับมอบถนนกรุงเทพมหานคร เข้าตรวจสอบความสมบูรณ์ของถนนอีกครั้ง ตามเงื่อนไขที่กรุงเทพมหานครกำหนด และหากดำเนินการเรียบร้อยแล้ว จะสามารถส่งมอบถนนกำแพงเพชรให้กรุงเทพมหานครได้ในเดือนสิงหาคม 2567
2. ปัญหาระบบไฟส่องสว่างถนนกำแพงเพชร 6 จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบสาเหตุเกิดจากการ ถูกลักลอบตัดสายไฟ และตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์หลายจุด จนทำให้ระบบไฟบริเวณถนนกำแพงเพชร 6 ไม่สามารถทำงาน ซึ่งการรถไฟฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้ทำหนังสือแจ้งการไฟฟ้านครหลวงในการเร่งรัดแก้ไขเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยดำเนินการแล้วเสร็จและกลับมาเปิดใช้ระบบไฟส่องสว่างได้เป็นปกติแล้วจำนวน 3 จุด ได้แก่ 1. สถานีจตุจักร-วัดเสมียนนารี 2. สถานีวัดเสมียนนารี-บางเขน 3. สถานีบางเขน-ทุ่งสองห้อง ส่วนที่สถานีทุ่งสองห้อง-รังสิต อยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุมัติงบประมาณในการซ่อมบำรุง ทั้งนี้ หากได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว การรถไฟฯ จะประสานให้การไฟฟ้านครหลวง เร่งปรับปรุงให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
“ปัญหาการลักลอบตัดสายไฟ และขโมยทรัพย์สินการรถไฟฯ ที่ถนนกำแพงเพชร 6 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ในพื้นที่ดังกล่าวได้เคยเกิดเหตุมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งการรถไฟฯ ได้ให้ผู้รับจ้างดำเนินการแก้ไข ด้วยการเดินสายเมนไฟฟ้าใหม่ จนสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ แต่ต่อมาก็ยังมีการลักลอบตัดสายไฟ และตู้ระบบไฟฟ้าแสงสว่างพร้อมอุปกรณ์อยู่บ่อย ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำ”
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาการรถไฟฯ ยังได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง สน.ประชาชื่น และ สน.ดอนเมือง ให้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดมาโดยตลอด เพราะตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน พบการลักลอบตัดสายไฟบนถนนกำแพงเพชรแล้วมากกว่า 25 ครั้ง แต่กระนั้นยังพบการลักลอบการกระทำผิดมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการดูแลป้องกันปัญหาระยะยาว การรถไฟฯ ได้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการช่วยสอดส่องดูแลพื้นที่จุดเสี่ยง และขอให้ดำเนินการคดีกับผู้กระทำความผิดโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากเป็นการทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหายแล้ว ยังก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนผู้ใช้ทางสัญจรไปมาอีกด้วย
ขณะเดียวกัน การรถไฟฯ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ หากพบเห็นเหตุผิดปกติ โปรดแจ้งที่ Call Center การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 หรือโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งขอเตือนว่า พฤติกรรมลักขโมยสายไฟ รวมถึง ครอบครอง ซื้อขายอุปกรณ์ส่วนควบ เครื่องยึดเหนี่ยวทางรถไฟ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของการรถไฟฯ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายฐานลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ถือว่ามีความผิด โทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้รับซื้อทรัพย์สินของทางราชการต่าง ๆ จะมีความผิด ฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ