news-details
Business

“เสี่ยบุณยสิทธิ์”เปรียบศก.ปี’67เหมือนรถ EV แต่สู้รถ Hybrid ไม่ได้ ยันยังไม่เข้าขั้นวิกฤติต้มยำกุ้ง-ไม่เข้าสู่ภาวะงินฝืด พร้อมประกาศเตรียมจัดงาน“สหกรุ๊ป แฟร์ แอนด์ เฟส” โฉมใหม่ เตรียมเซ็น MOU 16 ฉบับ 5 กลุ่มธุรกิจ มากสุดเป็นประวัติการณ์

"เสี่ยบุณยสิทธิ์"เปรียบเศรษฐกิจไทยปี 67 เหมือนรถ EV ออกตัวดี แต่สู้รถ HEV ไม่ได้ มองเศรษฐกิจเมืองไทยมุ่งใช้นโยบายหาเสียงมากกว่าแก้ปัญหาระยะยาว ระบุการปรับขึ้นค่าแรง ไม่กระทบในเครือ เหตุค่าแรงเกินเกณฑ์อยู่แล้ว แนะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ตรงจุด ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง ยันยังไม่ถึงขั้นวิกฤติต้มยำกุ้งและไม่เกิดภาวะเงินฝืด ยาหอม “เศรษฐา ทวีสิน”ขยัน เก่งภาษาอังกฤษ ได้เปรียบเวลาถ่ายรูป ด้นเครือสหพัฒน์ ประกาศจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28” โฉมใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Fair & Fest” ระหว่างวันที่ 27-30 มิ.ย.67 ณ  ไบเทค บางนา ยกทัพสินค้ามาให้ช้อปท่ามกลางบรรยากาศความสนุกสุดฟินที่จะครีเอทให้เกิดขึ้นทั่วงาน จัดเต็มกับนวัตกรรม สินค้าใหม่ กิจกรรมพิเศษ แฟชั่นโชว์ การประกวด การสัมมนา และพิเศษกับสินค้าจากพันธมิตรยักษ์ใหญ่ที่จะทำให้งาน   มีความหลากหลายมากขึ้น พร้อมใช้งานนี้ประกาศทิศทางเครือสหพัฒน์ที่จะมุ่งสู่ธุรกิจไบโอเทค บริการ ความรู้ แพลตฟอร์ม และธุรกิจเพื่อความยั่งยืน โดยจะมีการเซ็นเอ็มโอยูและบันทึกความร่วมมือกับพันธมิตร 16 ฉบับ 5 กลุ่มธุรกิจ มากสุดเป็นประวัติการณ์ คาดมีผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้น 30% จากปีที่ผ่านมา

 

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันว่า ภาพรวมการบริโภค กลุ่มอาหาร อยู่ในช่วงขาขึ้น เศรษฐกิจช่วงนี้มีความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนซึ่งเมืองไทยมีความได้เปรียบเรื่องอาหาร หากเป็นประเทศอื่นจะกลัวไม่มีข้าวรับประทาน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ เพราะอากาศหนาว แต่เมืองไทยอากาศร้อน ในน้ำมีปลาในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์ เศรษฐกิจตามไม่ทันความต้องการของคน คนมีความต้องการสูงแต่หาเงินมาไม่ทัน มีภาระหนี้สูง หากเศรษฐกิจดี เงินกู้มากเศรษฐกิจก็จะยิ่งดี ซึ่งในความคิดของตนเองมองว่าหากอยากเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจต้องไม่กลัวเงินกู้ที่สูง  แต่สิ่งที่เป็นความเสี่ยงก็คือความสามารถในการชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้ที่มีอายุมากแต่ถ้ากลุ่มผู้กู้ มีอายุน้อยก็จะมีโอกาสในการจ่ายหนี้สูง

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 นี้ หากเปรียบเทียบก็น่าจะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ที่ไม่เหมือนกับรถ Hybrid Electric Vehicle (HEV)ซึ่งรถ EV เมื่อสสตาร์ทอัปดี แต่เมื่อขับไปแล้วสู้รถ HEV ไม่ได้ ส่วนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงพอหรือไม่นั้น มองว่า เศรษฐกิจเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นเศรษฐกิจหาเสียง แต่ไม่ได้มองระยะยาวและไม่มองการลงทุนระยะยาว ไม่กล้าทำโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ กลัวหนี้สูง ส่วนนโยบายค่าแรงมองว่า คนไทยไม่ทำงานที่มีค่าแรงต่ำ  เช่น ธุรกิจก่อสร้าง บริการ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ(ประเทศเพื่อนบ้าน)ที่ต้องการค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนต่างชาติเข้าไทย เมื่อต่างชาติเข้ามาจำนวนมากก็จะเกิดปัญหาตามมามากขึ้น ในส่วนของเครือสหพัฒน์นั้น การปรับขึ้นค่าแรงนั้น ไม่กระทบต้นทุนมาก เนื่องจากค่าแรงของสหพัฒน์เกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แต่อุตสาหกรรมบางประเภทจะมีปัญหา

สำหรับการลงนามบันทึกคำร่วมมือ 16 ฉบับ ใน 5 กลุ่มธุรกิจ นั้นจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรกับจีนมากขึ้น  เนื่องจากช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 เป็นเวลาเกือบ 4 ปี ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยน้อย แต่ปัจจุบันโอกาสเปิดแล้ว สหพัฒน์จึงได้ทำการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้จะเน้นการผลิต การขาย แต่ในยุคปัจจุบันจะขยายไปหลายกลุ่ม และทำให้มีการร่วมมือกับต่างประเทศได้มากขึ้น หากผลิตและจำหน่ายเฉพาะสินค้าเดิม ชาวต่างชาติก็จะสามารถไปหาพันธมิตรที่อื่นได้ แต่หากบริษัทฯมีการเพิ่มหลายธุรกิจก็จะทำให้มีพันธมิตรมาร่วมทุนกับบริษัทมากขึ้น โดยเหตุผลที่เลือกพันมิตรจีนมากขึ้น เพราะนักธุรกิจญี่ปุ่นจะใช้ระยะเวลานานในการตัดสินใจร่วมทุน ไม่ได้เป็นระบบเถ้าแก่ เหมือนเช่นในอดีต ที่จะตัดสินใจได้รวดเร็ว แต่จีนใช้ Startup ใช้ Big Data ซึ่งมองว่าจีนเหนือกว่าอเมริกา โดยสิ่งที่กำลังคุยกับจีนในการร่วมกันคือ ไบโอเทค ที่มองว่ามีอนาคตที่ดีในประเทศไทย และไต้หวัน ซึ่งคาดว่าจะเกิดการจ้างงาน 7,000 คน โดย MOU ทั้ง 16 ฉบับที่จะมีการลงนามนั้นประกอบด้วย จีน 3 ฉบับ ญี่ปุ่น 4 ฉบับ และเกาหลี 1 ฉบับ

“การที่จีนกำลังทะเลาะกับอเมริกา จึงถือเป็นโอกาสทำให้ญี่ปุ่นและประเทศอื่นหันมาสนใจการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น  ส่วนอัตราดอกเบี้ยขณะนี้มองว่าดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องลด แต่ควรลดนอกระบบ เพราะดอกเบี้ยนอกระบบสูงมาก”นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

สำหรับสินค้าจากจีนนั้น มองว่าไม่กระทบกับสินค้าในเครือสหพัฒน์ ซึ่งลักษณะการทำตลาดของจีนจะขายปลีกในราคาถูก   เพราะต้องการแย่งตลาดทำให้เป็นที่รับทราบว่าของจีนถูก และเหมือนให้ทดลองใช้  ส่วนยอดขายของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ลดน้อยลงนั้นถือเป็นเรื่องปกติ    ซึ่งหากรู้จักเปลี่ยนแปลง รู้จักนำสินค้าไปขายต่างประเทศ ก็จะมีโอกาสมากขึ้น และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ก็จะโตขึ้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น มองว่าเมืองไทยยังดีกว่าทั่วโลก 

“เศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเวียดนาม มาเลเซีย เราสู้เขาไม่ได้ ยกตัวอย่างจีน เป็นประเทศที่ใหญ่ แต่ก็ยังโต 5% ส่วนไทยเป็นประเทศเล็กโต 1% จึงอย่าวัดเศรษฐกิจว่าเท่าไหร่ แต่ยืนยันว่า ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นวิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540  และยังไม่ถึงคำว่าวิกฤติ และยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด โดยเศรษฐกิจจะดี หรือ ไม่ดี ให้ดูที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ  ถ้าตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นแสดงว่ามีการผลิตเยอะ  ซึ่งการแก้ปัญหา GDP ต่ำมีหลายวิธี แต่วิธีง่ายที่สุดคือทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมามีคนรุ่นใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น”นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

ขณะที่มาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ถ้ารู้จักใช้เป็น Digital transformation ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น โดยเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีนั้นให้ดูดัชนีหุ้นว่าตกลงมาหรือไม่ ซึ่งต่างประเทศจะดูออก แต่ทำไมไม่ศึกษาข้อมูล โดยในส่วนของเครือสหพัฒน์ไม่ว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร สหพัฒน์ก็ปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ได้ โดยความหวังกับเศรษฐกิจเมืองไทยนั้น ถ้ารู้จักเปลี่ยนแปล งทุกอย่างก็เป็นโอกาส  ปัจจุบันนี้เป็นยุคดิจิทัล (Big Data Digital transformation) หากนำมาผสมผสานกันก็จะสามารถดำเนินการได้ในหลากธุรกิจ ส่วนเรื่อง Soft Power มองว่าเป็นเรื่องดีที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้

“มองว่า รัฐบาลมีความตั้งใจกระตุ้นให้เศรษฐกิจดี แต่ต้องดูว่าตรงจุดหรือไม่ ถ้าตรงจุดก็ขึ้นเร็วไม่ตรงจุดก็ช้า  อย่างไรก็ตาม หากจะให้นิยามภาพรวมเศรษฐกิจ ปี 2567 ก็มองว่า เศรษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าใครสามารถปรับตัวได้ดีก็เป็นโอกาส ที่จะเปลี่ยนแปลง ขณะที่การทำงานของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มองว่ามีความขยันและเก่งภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะเวลาถ่ายรูป นากยกฯจากประเทศไทยจะได้เปรียบ ส่วนการประเมินการทำงานของทายาทจะดีหรือไม่ดีให้ดูที่งานสหกรุ๊ปแฟร์ ซึ่งในการจัดงานเราไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ยอดขาย แต่ต้องทำให้คนเข้ามาในงานจำนวนมาก และต้องดึงดูคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามากขึ้น”นายบุญยสิทธิ์ กล่าวในที่สุด

 

ด้านนายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ICC  และประธานจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ กล่าวว่า งาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28” ปี 2567 นี้ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00–21.00 น. ณ ฮอลล์ 98-100 ไบเทค บางนา โดยจะนำสินค้าแบรนด์ดังในเครือสหพัฒน์มาจำหน่ายในราคาพิเศษ รวมกว่า 100 บริษัท 1,000 รายการ อาทิ มาม่า ฟาร์มเฮ้าส์ วาโก้  กีลาโรช ลาคอสต์ บีเอสซี เวลแคร์ เปา ซื่อสัตย์ ซิสเท็มมา โชกุบุสซึ โคโดโมะ และจะจัดแสดงนวัตกรรมล่าสุด สินค้าใหม่จากแบรนด์ต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมพิเศษ แฟชั่นโชว์ การประกวด และการสัมมนา มากมาย

 

นอกจากนี้ ยังมี 3 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ของเครือสหพัฒน์นำสินค้ามาจัดแสดงและจำหน่ายด้วย ได้แก่ สมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ซึ่งจะนำกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ มาร่วมงาน อาทิ รถยนต์อีวี เช่น BYD, AION, ChangAn, MG, GWM สินค้าเทคโนโลยี เช่น Huawei, HIP Global, Hikvision เป็นต้น รวมทั้ง Quark Biosciences ผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ชั้นนำจากไต้หวัน และ Zhen Ding Technology Holding Limited ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นวงจรพิมพ์อันดับ 1 ของโลก

 

สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28 จะมาพร้อมรูปแบบการจัดงานโฉมใหม่ในคอนเซปต์ Fair & Fest ซึ่งจะเนรมิตงานให้เป็นทั้งแฟร์และเฟสติวัลในงานเดียว โดยจะมีกิจกรรมความบันเทิงกระจายอยู่ทุกพื้นที่ ทั้งบนเวที  การแสดง พื้นที่ส่วนกลาง บูธแสดงสินค้า เพื่อสร้างสีสัน ความแปลกใหม่ และทำให้การเลือกซื้อสินค้าสนุกสนานและเพลิดเพลินมากกว่าเดิม อาทิ การประกวดเต้นโคฟเวอร์และฮิปฮอปสุดมันส์ คอนเสิร์ตจากยูทูบเบอร์ในโลกเสมือน (VTuber Concert) ที่กำลังมาแรง แฟชั่นโชว์ WACOAL BRACATION ที่นำเสนอคอลเลกชันใหม่ ในปี 2024 กิจกรรม ODEN-YA รวมพลคนสะสมการ์ดพลัง แฟชั่นโชว์สัตว์เลี้ยง Meet & Greet กับเซเลบสี่ขา ที่จะมาร่วมสร้างสีสัน การแสดงดนตรีและคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย พร้อมด้วยงานแสดงศิลปะป๊อปอาร์ต อาร์ตทอยแกลลอรีที่มีคาแรกเตอร์ชื่อดัง “HUUYAOW” มาโชว์ และยังมีมุมตกแต่งสวย ๆ อีกมากมายให้ผู้ร่วมงานถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

 

“นอกจากกิจกรรมที่จะสร้างสีสันให้งานสหกรุ๊ปแฟร์มีความสดใหม่แล้ว ปีนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เซ็นเอ็มโอยูและบันทึกความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวม 16 ฉบับ ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ไบโอเทค บริการ ความรู้ แพลตฟอร์ม และธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ซึ่งกลุ่มธุรกิจเหล่านี้แสดงถึงทิศทางธุรกิจของเครือสหพัฒน์ที่จะก้าวไปในอนาคต” นายธรรมรัตน์ กล่าว 

 

สำหรับตัวอย่างของการเซ็นเอ็มโอยูและบันทึกความร่วมมือในงานดังกล่าว อาทิ 

-ความร่วมมือกับ QUARKBIO ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI Technology Machine จากไต้หวัน เพื่อบุกธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการดูแลสุขภาพ       

-ความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสนับสนุนโครงการศูนย์พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร 

-ความร่วมมือกับ Tokyu Corporation เพื่อขยายความร่วมมือในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย 

-ความร่วมมือกับควอนตัม เอสดีจีเอ็ม และเอ็มทีเอส โกลด์ เพื่อให้สิทธิพิเศษกับลูกค้า MTS ในการแลกเป็นทองดิจิทัลในระบบ QDM 

-ความร่วมมือกับ DHL Express เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งด่วนทางอากาศผ่านบริการ GoGreen Plus 

-ความร่วมมือกับ SC Grand  ในการพัฒนาสินค้าแฟชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังมีความร่วมมือเพื่อพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Print Circuit Board : PCB) ระหว่าง เพ๊ง เชิน เทคโนโลยี (ประเทศไทย) และสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย

โดยคาดว่าการจัดงาน“สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28”จะมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่าปี 2566 ประมาณ 30%

 

 

 

 

You can share this post!