กรมทางหลวง ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3 สายพัทยา - อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระยะทาง 22.242 กิโลเมตร แล้วเสร็จ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรสายหลัก เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมโลจิสติกส์ภาคตะวันออก ตามแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3 สายพัทยา - อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระหว่าง กม.ที่ 153+200 ถึง กม.ที่ 175+442 แล้วเสร็จ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่เกิดขึ้นบนทางหลวง รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าและการเดินทางของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงการสัญจรในพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันทางหลวงสายดังกล่าวมีปริมาณการจราจร 28,322 คัน/วัน เป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมต่อระหว่างแหล่งท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม ชุมชนเมืองพักอาศัยตามแนวเลียบชายฝั่ง รวมทั้งรองรับการเปิดให้บริการของท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาโครงข่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของทางหลวงเพื่อเพิ่มความคล่องตัว (mobility) ให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทางอย่างสูงสุด
สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3 สายพัทยา - อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีลักษณะการก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษเดิม 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ) เป็น 8 ช่องจราจร (ไป - กลับ ข้างละ 4 ช่องจราจร) ผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยแบริเออร์คอนกรีต ก่อสร้างสะพานคอนกรีตสะพาน overpass รูปแบบ segment ที่ กม.169+169 (แยกเจ) มีความยาว 320 เมตร และ ที่ กม.172+055 (แยกเตาถ่าน) มีความยาว 360 เมตร พร้อมทั้งก่อสร้างสะพานกลับรถและสะพานลอย รวมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง ป้ายเตือน ป้ายจราจรต่าง ๆ วงเงินงบประมาณ 2,945,360,900 บาท
ปัจจุบันโครงการได้ดำเนินก่อสร้างแล้วเสร็จ ทำการเปิดใช้บริการแก่ประชาชนเรียบร้อยแล้ว สามารถบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการตัดกระแสจราจร และเพิ่มความคล่องตัวในการสัญจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับถนนปลอดภัยและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สนับสนุนระบบโลจิสติกส์และระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ นับเป็นการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล