ซีไอเอ็มบีไทย คาดแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 67 ขยายตัวดีขึ้น จากปัจจัยหนุนธุรกิจท่องเที่ยว การลงทุน ภาคเอกชน การส่งออก ส่วนปัจจัยลบหวั่นความไม่นอนทางการเมมืองที่ลดความเชื่อมั่นนักลงทุน-ผู้บริโภค และความเสี่ยงจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของต่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงลากยาว และภาคการผลิตที่อาจหดตัวต่อเนื่อง คาดแนวโน้ม กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายปี 2567 ลง 0.25% เหลือ 2.25% จาก 7 เหตุผล ด้านมาตรการดิจิทัล วอลเล็ต ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ระยะสั้น เตือนระวังการใช้จ่าย หวั่นปีหน้าเศรษฐกิจอาจโตช้าลง รับยังกังวลปัจจัยภายนอกประเทศสะเทือนเศรษฐกิจในประเทศ เผยมุมมองเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/67 เสี่ยงป่วยจาก 4 ปัจจัยหลัก G-E-R-M
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยถึง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปี 2567 แนวโน้มจะขยายตัวชัดเจนขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน การลงทุน และการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ภายในจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เศรษฐกิจอาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค แต่เป็นปัจจัยชั่วคราว ขณะที่ความเสี่ยงหลักจะมาจาก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเลือกตั้งในหลายประเทศที่อาจเปลี่ยนขั้วการเมือง อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงลากยาว และภาคการผลิตที่อาจหดตัวต่อเนื่อง
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่รัฐบาลไทยมีงบประมาณ และดำเนินมาตรการการคลังที่มุ่งเป้าเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มการบริโภคภายในประเทศโดยไม่เพิ่มภาระหนี้ของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานกำลังเร่งตัวขึ้น ทำให้การเชื่อมต่อดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสในการจ้างงาน
อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในการประชุมวันที่ 12 มิถุนายน เพื่อรักษาระดับการกู้ยืมของครัวเรือนเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวจากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ธปท. ส่งเสริมให้ครัวเรือนจัดการหนี้อย่างรับผิดชอบและพิจารณาโครงการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงิน ส่วนเงินเฟ้อยังอยู่ภายใต้กรอบที่ธปท.สามารถควบคุมได้ ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปตามคาดการณ์ของธปท. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการลดดอกเบี้ยเพื่อเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการประชุมเดือนธันวาคมจะมีการลดดอกเบี้ยลง 0.25% ไปสู่ระดับที่ 2.25% เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 และให้สอดคล้องกับระดับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย
“ความขัดแย้งระหว่างคลังกับธปท. ที่คลังต้องการให้ลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ ในมุมที่กนง.ยังคงดอกเบี้ยนั้น เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ ไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยมาสนับสนุน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ช่วยในการควบคุมเงินเฟ้อ และยังป้องกันการรับความเสี่ยงเกินควร รวมถึงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันให้พื้นที่สำหรับการปรับในอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญ”ดร.อมรเทพ กล่าว
ด้านนโยบายการเงินมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายปี 2567 ลง 0.25% เหลือ 2.25% ในช่วงเดือนธันวาคม นี้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 และให้สอดคล้องกับระดับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย และเป็นไปทิศทางเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้านอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ภายใต้กรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถควบคุมได้ ขณะที่ในปี 2568 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะอยู่ที่ 1.5%
โดยสาเหตุที่คาดว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ประกอบด้วย 7 เหตุผล ได้แก่
1.อัตราการเติบโตของศักยภาพเศรษฐกิจที่ลดลงต้องการอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่ลดลงของไทยจำเป็นที่จะต้องมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
2.การลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากการปรับลดของเฟด โดยการลดดอกเบี้ยหลังจากเฟดปรับลดสามารถป้องกันการไหลเข้าของทุนที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก
3.ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจพื้นฐาน แม้จะดูเหมือนว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่ไทยยังเผชิญกับปัญหาการกระจายรายได้ไม่ดี และรายได้ต่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไม่แข็งแกร่ง
4.ข้อจำกัดของมาตรการกระตุ้นรัฐบาล ผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลอาจถูกประเมินสูงเกินไป จำเป็นต้องมีการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
5.การดำเนินการเชิงรุก การลดอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้สามารถเตรียมไทยให้พร้อมสำหรับความยากลำบากที่อาจเกิดขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และจีนที่ชัดเจนมากขึ้น แทนที่จะรอจนกว่าสถานการณ์จะแย่ลง
6.การสนับสนุน SMEs โดยธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยสามารถได้ประโยชน์จากต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำลง ช่วยให้สามารถอยู่รอดได้
7.ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันยังควบคุมได้ จึงมีพื้นที่ในการลดดอกเบี้ยโดยไม่เสี่ยงต่อแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท คาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าจาก 36.7 บาท/ดอลลาร์ ในสิ้นเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 36.5 บาท/ดอลลาร์ ในสิ้นเดือนกันยายน โดยเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3/2567 ตามการคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยของสหรัฐในเดือนก.ย. ซึ่งจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องของตลาดการเงินและช่วยให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย อย่างไรก็ตาม คาดว่าเงินบาทปลายปี 2567 จะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 37 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
“ไม่ใช่แค่ปีนี้ที่มองดอกเบี้ยไทยจะลดลง โดยการปรับลดดอกเบี้ยมีเหตุผลมากมาย แต่เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญ โดยตามหลังเฟดจะช่วยรักษาเสถียรภาพได้ และไม่มีนโยบายการคลังร้อนแรงจนเกินไป ดังนั้นการปรับลดดอกเบี้ยหากไม่มีนโยบายดิจิทัล วอลเล็ตก็สามารถทำได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ส่วนมาตรการดิจิทัล วอลเล็ต จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นเท่านั้น โดยปลายปีทำให้จีดีพีมีโอกาสทะลุ 4% ได้มากขึ้น เวลาอัดเงินแจกเงินจะกระตุ้นได้ในระยะสั้น แต่พอหมดมาตรการก็จะแผ่วลง ระมัดระวังการใช้จ่ายหลังจากนั้น ต้องประเมินให้ดี โดยปีหน้าอาจจะเห็นเศรษฐกิจโตช้าลงได้”ดร.อมรเทพ กล่าว
ส่วนกรณีของการที่ในปี 2567 จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดค่อนข้างมากนั้น ทำให้กังวลผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ แนะนำนักลงทุนให้หากลุ่มเรตติ้งดี มีความสามารถในการชำระหนี้ หากมองความไม่แน่นอนตลาดหุ้นในปัจจุบัน จึงเห็นว่าเป็นโอกาสของนักลงทุน ที่จะหาผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก และรับความเสี่ยงได้ โดยมีการครบกำหนดหุ้นกู้ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ จึงต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้
“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรก 2567 ยังขยายตัวช้า โดยธนาคารยังคงประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2567 ไว้ที่ 2.3% และคาดว่าปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% จากการเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณและการฟื้นตัวของตลาดต่างประเทศ โดยหากรวมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ 2.5% ซึ่งเป็นการช่วยภาพรวมเศรษฐกิจโตขึ้นได้ในระยะสั้นเท่านั้น โดยปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังหลักๆมาจากการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 35.6 ล้านคน ในปีนี้ และ 39.1 ล้านคน ในปี 2568 โดยการฟื้นตัวจะช่วยกระตุ้นภาคบริการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และค้าปลีก”ดร.อมรเทพ กล่าว
ขณะเดียวกันยังได้รับปัจจัยหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายของครัวเรือนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล เช่น การอุดหนุนค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคและการแจกเงินสดแก่กลุ่มเป้าหมาย และแผนโครงการดิจิทัล วอลเล็ต หากทำได้จริงในปี 2567 นี้จะมีผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอีก 0.2% แต่อย่างไรก็ตามการบริโภคโดยรวมน่าจะยังไม่สามารถเติบโตได้แรง เป็นผลจากการลดลงของการซื้อรถยนต์และสินค้าคงทนอื่นๆ แต่สินค้ากลุ่มบริการยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ด้านการลงทุนภาคเอกชนจะเติบโตได้ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตเพื่อการส่งออก ส่วนการลงทุนภาครัฐน่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีหลังมีงบประมาณเบิกจ่ายออกมาเต็มที่ โดยเฉพาะการลงทุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการส่งออกคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดี โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้าโลกและความต้องการสินค้าของไทย ทำให้มองการส่งออกในปี 2567 ขยายตัวได้ 1.6% และปี 2568 ขยายตัว 2.7%
อย่างไรก็ตาม ที่ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน แต่ก็น่าจะมีผลให้ไทยได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตและการจ้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหารแปรรูป ขณะที่มุมมองของ CIMBT มีมุมมองเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2567 เสี่ยงป่วยจาก 4 ปัจจัยหลัก G-E-R-M โดยเศรษฐกิจอาจเผชิญความเสี่ยง ประกอบด้วย
G – Geo-politics – ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังป่วนโลก กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ต้นทุนขนส่งสินค้าทางเรือจะสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่เป็นต้นทุนสำคัญในภาคการผลิตและขนส่ง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่เคยคาดการณ์ 82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอาจปรับขึ้นไปทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้หากสถานการณ์เลวร้ายและกระทบผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน รวมทั้งความขัดแย้งในยูเครนที่อาจยืดเยื้อและรุนแรงจนกระทบอุปทานน้ำมันของรัสเซีย ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน หรือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิตจนทำให้ราคาสินค้าบางประเภทโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับพุ่งขึ้นได้
E – Elections - การเลือกตั้งในหลายประเทศที่อาจเปลี่ยนขั้วการเมือง การเลือกตั้งแม้เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนไปบริหารประเทศ แต่ เรามักพบการเมืองที่เปลี่ยนขั้ว มีผลต่อการดำเนินนโยบายที่แตกต่างกันออกไป เช่น การเลือกตั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส กระทบต่อความเชื่อมั่นในการลดระดับหนี้สาธารณะและกระทบต่อค่าเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่น่าจับตา คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ จะมีความสำคัญต่อทิศทางการค้า การลงทุน และกระแสโลกาภิวัตน์ตีกลับ (De-globalization) ที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทยได้
R- Interest Rate - อัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูงและลากยาว แม้เราคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยช่วงกันยายนและธันวาคม จากระดับ 5.50% สู่ระดับ 5.00% ในปลายปีนี้ จากตัวเลขการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มแผ่วลง แต่หากเฟดยังกังวลต่อทิศทางเงินเฟ้อที่ลดลงช้า และห่วงว่าหากปรับลดดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งขึ้นต่อได้ เฟดอาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้น ความน่าสนใจของการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่ลดลง มีเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทย และหากเฟดส่งสัญญาณที่จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยเลยในปีนี้ ค่าเงินบาทอาจพลิกกลับไปอ่อนค่าได้ต่อ ทะลุระดับ 37.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แทนระดับที่เคยคาดการณ์ 37.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะกระทบต้นทุนการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะน้ำมัน ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยปรับสูงขึ้นกว่าคาดได้ และกนง. อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีแทนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอย่างที่คาดการณ์
M – Manufacturing - ภาคการผลิตอาจหดตัวต่อเนื่อง ความอ่อนแอของภาคการผลิตมีส่วนสำคัญทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา ทั้งขาดสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ขาด FDI หรือเติบโตรั้งท้ายในภูมิภาค หรือการที่ไทยนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนเป็นจำนวนมากจนทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะตัวเลข MPI ที่หดตัวต่อเนื่อง แม้เราคาดว่าภาคการผลิตจะปรับตัวดีขึ้นไตรมาสสามตามการฟื้นตัวของตลาดโลกและความเชื่อมั่นดีขึ้น แต่หากไทยไม่สามารถยับยั้งการเร่งระบายสินค้าจากจีน SMEs ไทยจะกระทบหนักถึงขั้นปิดโรงงาน
“จากการที่จีนยังคงระดับการผลิตสินค้าเพื่อรักษาระดับการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจแม้อุปสงค์ในประเทศชะลอและเผชิญสงครามการค้ากับชาติตะวันตก ซึ่งที่จริงจีนน่าจะผลิตลดลง แต่กลับนำผลผลิตส่วนเกินมาระบายในตลาดอาเซียนโดยเฉพาะไทย หากเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง ภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะโรงงานในกลุ่ม SMEs ที่ขาดความสามารถในการแข่งขันอาจต้องปิดตัวลงจนกระทบการจ้างงานและการบริโภคของคนไทยอีกทอดหนึ่ง ซึ่งหวังว่ารัฐบาลไทยจะมีความชัดเจนในการแก้ปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาและเร่งให้ SMEs ไทยปรับตัวได้ในไม่ช้า” ดร.อมรเทพ กล่าวในที่สุด