เมเจอร์ฯเผยภาพรวมตลาดลักชัวรีครึ่งปีหลัง67 ยังมีดีมานด์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคา 18-35 ล้านบาท พร้อมปรับแผนพัฒนาเน้นร่วมทุนพันธมิตรทุกโครงการลดความเสี่ยง เตรียมเซ็นMOU กับพันธมิตรญี่ปุ่นอีก 2 ราย ทั้งเพิ่มสัดส่วนแนวราบเป็น 40% รองรับดีมานด์ WFH เดินหน้าตามแผน 2 ปี ผุด 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดแนวราบลักชัวรี 2 โครงการ “มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง” และ “มิลฟอร์ด โฮม สตูดิโอ ลาดพร้าว” รวมมูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท ปลื้ม 6 เดือนแรกกวาดยอดขายแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท จาก 3 โครงการ คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปี66 ถึง 150% จากเป้าทั้งปี 7,000 ล้านบาท
นางสาวนฑา กิตติอักษร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี. ในครึ่งปีหลัง 2567 ว่า โครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ ยังสามารถทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ขณะที่ตลาดแนวราบก็มียอดขายที่ดีเช่นกัน โดยบ้านเดี่ยว มองว่าดีมานด์ยังมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระดับราคาที่ดีมานด์มีความต้องการมากคือ 18-35 ล้านบาท
สำหรับนโยบายของเมเจอร์ฯนับจากนี้ไป จะปรับวิธีการดำเนินการ เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ด้วยการร่วมทุนกับพันธมิตรในทุกโครงการ เพื่อสร้างอัตราการเติบโตให้กับบริษัทฯ ซึ่งหลักการในการเลือกพันธมิตรแต่ละรายในการร่วมทุนนั้นจะพิจารณาว่าแต่ละพันธมิตรมีความเชี่ยวชาญหรือมี Know-how ด้านไหน ก็จะลงทุนในประเภทตามความเชี่ยวชาญของพันธมิตรนั้นๆ ซึ่งจะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทฯได้มากขึ้น โดยที่ผ่านมามีการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งสิงคโปร์ อิสราเอล เกาหลี และล่าสุดกับกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ Mori Trust. จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนพัฒนาโรงแรมและอาคารสำนักงาน ได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมทุนโครงการแรก “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา 2" (Malton Gates Krungthep Kreetha II) มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ตามแผนคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนอสังหาฯระดับใหญ่และกลางจากญี่ปุ่น. อีก 2 ราย.ที่อยู่ในระหว่างการรอเซ็นสัญญาร่วมทุน (MOU)ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯรายอื่นในประเทศไทยมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
นอกจากนี้บริษัทฯจะปรับเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เป็นสัดส่วน 40% ตามเทรนด์ความต้องการของดีมานด์ หลังจากเกิดวิกฤติโควิด-19 จากเดิมที่เน้นพัฒนาคอนโดฯมากถึงกว่า 99% โดยยังเน้นการพัฒนาโครงการในระดับลักชัวรีขึ้นไปเช่นเดิม
ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพของโครงการภายใต้แบรนด์ต่างๆ ของบริษัทฯ ตามความตั้งใจที่จะส่งมอบตามมาตรฐาน MAJOR Craft & Quality บริษัทฯ ไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังมุ่งเน้นในการศึกษาการเติบโตของเทรนด์ที่อยู่อาศัย ปัจจัยความต้องการที่อยู่อาศัย พฤติกรรมของผู้บริโภค และแนวโน้มศักยภาพของพื้นที่ เพื่อนำมาวิเคราะห์และตกผลึกเป็นรูปแบบโครงการและกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ (2567-2568) บริษัทจึงมีแผนที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงและแนวราบ รวม 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาเปิดตัวไปแล้ว 6 โครงการ เป็นแนวราบ 3 โครงการ และแนวสูง 3 โครงการ สำหรับในครึ่งปีหลัง 2567 ได้เตรียมเปิดแนวราบระดับลักชัวรี อีกจำนวน 2 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท ได้แก่
1.มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง. (MILFORD Ladprao – Ramkhamhaeng) ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ สูง 3.5 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณซอยรามคำแหง 53 บนพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่เศษ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “English Eclectic Design” สอดแทรกกลิ่นอายความเป็นอังกฤษทั้งภายในและภายนอกอาคาร ขนาดที่ดินตั้งแต่ 24.5-72 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 18-30 ล้านบาท จำนวนเพียง 84 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดพรีเซลระหว่างวันที่ 17 – 18 สิงหาคม 2567 พร้อมทั้งจัดเตรียมโปรโมชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับข้อเสนอพร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท ขณะนี้มีผู้ให้ความสนใจแล้วเกือบ 200 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจต่างๆที่มีความต้องการใช้พื้นที่ใช้สอยในการ Work From Home (WFH)คาดว่าถึงปลายปี 2567 จะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 40-50%
“ที่ดินแปลงนี้เราซื้อมาเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันราคาพุ่งสูงไปประมาณ 30% หรือประมาณ 200,000-250,000 บาท/ตารางวา โดยไม่มีคู่แข่งในย่านเดียวกันเลย คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วๆ”นางสาวนฑา กล่าว
2.มิลฟอร์ด โฮม สตูดิโอ ลาดพร้าว. (Milford Private Home Studio Ladprao) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นทาวน์โฮมที่สามารถปรับเป็น Home Office หรือ Studio ได้บนพื้นที่เริ่มต้น 29.1 - 39.2 ตารางวา และพื้นที่ใช้สอยกว่า 329 – 331 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 30 ล้านบาท จำนวนเพียง 3 ยูนิต มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นบ้านสร้างก่อนขาย
“การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 'มิลฟอร์ด' (MILFORD) จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นการเติมเต็มจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เข้ามาเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบให้มีความสมดุล และทำให้การรับรู้รายได้ของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น ตามที่เมเจอร์ฯ ได้วางเป้าหมายสัดส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 60%และโครงการแนวราบสัดส่วน 40% และเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนภาพความเป็นเลิศในด้านการผนวกงานฝีมือและคุณภาพของมาตรฐานการก่อสร้าง (Craft & Quality) เข้าไปกับความมุ่งมั่นในการยกระดับที่อยู่อาศัย เพื่อชาร์จคุณภาพการใช้ชีวิตและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตให้ครอบคลุมในทุกบริบท ในฐานะของ Lifescape Developer” นางสาวนฑา กล่าว
สำหรับในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 5,000 ล้านบาท จากโครงการแนวราบและแนวสูง รวม 3 โครงการ คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่ผ่านมาถึง 150% ดังนั้นเป้ายอดขายทั้งปีที่วางไว้ 7,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าเป็นไปตามแผนอย่างแน่นอน