news-details
Business

“สุนทร สถาพร”รับไม้ต่อ สวมหมวกนายกส.ธุรกิจบ้านจัดสรร คนที่ 12 ไฟแรงเตรียมเข้าพบคลังแก้ไข 3 ปัญหาระยะสั้นอย่างเร่งด่วน

ภายหลังจากที่สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 และได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมาคม ชุดใหม่ ประจำปี 2567-2569 ผลปรากฏว่า “สุนทร สถาพร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด ได้รับการโหวตให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร คนที่ 12 รับไม้ต่อจาก “วสันต์ เคียงศิริ” นายกสมาคมฯคนที่ 11 ไปอย่างเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

โดย “สุนทร สถาพร” เริ่มเข้าวงการอสังหาฯ เมื่อปี 2534 ด้วยการดำรงตำแหน่งกรรมการกลุ่มบริษัท ทรัพย์หิรัญ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว และในปี 2537 ได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฉลิมนคร จำกัด พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรโครงการแรกคือ “บ้านสถาพร”รังสิตคลอง 3 ต่อมาในปี 2560 ได้ขยายฐานธุรกิจ ด้วยการก่อตั้งบริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด ขึ้นมา เพื่อรุกอสังหาฯแนวราบและแนวสูง ระดับบนย่านใจกลางเมือง และชานเมือง มากขึ้นจนถึงปัจจุบัน

ส่วนการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เริ่มเข้ามาในปี 2535  ซึ่งภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ก็สามารถเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ตั้งแต่ปี 2538 และด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมในธุรกิจมาช้านาน “สุนทร สถาพร”ไม่เคยคิดที่จะรับตำแหน่งนายกสมาคมฯแต่อย่างใด แต่ในปี 2567 ถือว่ามีความพร้อมในทุกๆด้านแล้วกับหมวกใบใหม่ และบทบาทหน้าที่ที่จะนำพาสมาชิกสมาคมฯและพันธมิตรทางธุรกิจฟันฝ่าอุปสรรคและเติบโตไปด้วยกัน

 

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “Fullmax” ว่า ภายหลังจากที่รับตำแหน่งนายกสมาคมฯคนที่ 12 แล้ว ตนและคณะกรรมการจะต้องรีบปฏิบัติภารกิจหลักของสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ให้ได้รับความเชื่อถือจากภาครัฐและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานและพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนและคณะกรรมการชุดปัจจุบันจะดำเนินการปฏิบัติต่อไป ซึ่งวิกฤติที่ประสบถึงปัจจุบันนี้ นายกกิตติมศักดิ์ทุกท่านพบและฝ่าฟันผ่านมากันแล้วทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม Vision ของสมาคมฯที่ได้ร่วมมือกัน ได้สร้างมิติใหม่ๆที่ดีให้เกิดกับวงการที่อยู่อาศัย ทั้งในเรื่องศูนย์ข้อมูล ที่ทำให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของดีมานด์และซัปพลาย,พ.ร.บ.จัดสรร ซึ่งสมาคมฯเป็นเสาหลักในการพัฒนากฎหมายให้เป็นประโยชน์กับผู้อยู่อาศัย ทั้งเรื่องสัญญาที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค ซึ่งต้องขอขอบคุณนายกกิตติมศักดิ์ทุกท่าน และที่ปรึกษาสมาคมฯในการสนับสนุน

ล่าสุดที่นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร คนที่ 11 ได้ผลักดันให้มีการจัดสัมมนาเชิงวิชาการเผยแพร่ความรู้ คิดว่าเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะทำให้วงการอสังหาฯได้ยกระดับและพัฒนาความรู้ ในสิ่งที่เป็นเป้าหมาย นั่นก็คือลูกค้าที่จะได้ที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่พบอุปสรรคแล้ว คือ กู้ไม่ผ่าน จึงทำให้เศรษฐกิจไม่หมุนเวียน เพราะปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติโครงสร้างเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีความเดือดร้อน

สำหรับสิ่งที่นากยกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร คนใหม่ และคณะกรรมการจะต้องดำเนินการเร่งผลักดันในระยะสั้นภายในปี. 2567นี้ มีทั้งหมด 3 เรื่องหลัก คือ

1.แก้ไขปัญหาลูกค้าซื้อบ้านแล้วไม่ได้รับสินเชื่อ. ซึ่งจะต้องเข้าหารือกับกระทรวงการคลัง เรื่องมาตรการลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท. ในปี 2567 โดยอยากให้สถาบันการเงินของรัฐมาช่วยสนับสนุนลูกค้ากลุ่มดังกล่าวได้โดยเร็ว โดยอยากให้พิจารณาเครดิตผู้กู้ จากที่ต้องรอถึง 6 เดือน จึงจะผ่านการกู้สินเชื่อใหม่ เป็นให้ได้รับพิจารณาสินเชื่อใหม่ได้ทันที เพราะผู้ที่มีความจำเป็นด้านที่อยู่อาศัยแต่ไม่ผ่านการกู้สินเชื่อ โดยกลุ่มที่ได้รับความเดือนร้อนสุดคือ กลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูง 60-70% ส่วนกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท ถูกปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 40-50% และกลุ่มราคา 5-7 ล้านบาท ถูกปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 30%  ซึ่งกลุ่มที่มีความต้องการบ้าน คือ กลุ่มที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ใกล้แหล่งงาน ใกล้สถานศึกษาของบุตรหลาน และกลุ่มที่ขยายครอบครัว ดังนั้นเมื่อกลุ่มดังกล่าวสามารถเคลียร์ปัญหาหนี้สินเดิมได้ จึงอยากให้สถาบันการเงินของรัฐพิจารณาสินเชื่อใหม่ได้

2.อยากเสนอให้ผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย  (Loan to Value : LTV) เป็นการชั่วคราว เนื่องจากผู้ที่มีความต้องการและมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยเป็นสัญญาที่ 2 มีความจำเป็นจะต้องมีที่อยู่อาศัย 2 แห่ง เช่น อาจจะมีพ่อแม่ที่สูงอายุอยู่บ้านชานเมือง แต่ผู้ผ่อนชำระอาจทำงานในเมือง จึงมีความจำเป็นในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยบ้านหลังที่ 2 และกลุ่มนี้มีศักยภาพ-รายได้มากเพียงพอ ที่จะได้รับสินเชื่อ

3.อยากให้พิจารณาวงเงิน Soft Loan และลูกค้าผู้กู้ซื้อบ้านได้อัตราดอกเบี้ยต่ำในช่วงต้น แล้วค่อยปรับขึ้นตามลำดับตามการเติบโตของเศรษฐกิจ สำหรับขนาดวงเงินและอัตราดอกเบี้ย ถ้าเป็นไปอยากให้พิจารณาให้อยู่ในระดับที่ 3% ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอยากให้ภาครัฐเป็นฝ่ายพิจารณา เพราะถ้าลูกค้าสามารถกู้สินเชื่อซื้อบ้านได้ เศรษฐกิจก็จะเริ่มเกิดการหมุนเวียน เกิดวงจรการจ้างงานใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องที่ต้องเร่งผลักดัน และในอนาคตที่มีความจำเป็นจะต้องขอความร่วมมือสมาชิกและพันธมิตร คือการพัฒนาศักยภาพของวงการธุรกิจบ้านจัดสรร ในการมีส่วนร่วมในการให้ความรู้ โดยที่มีสมาคมฯเป็นตัวกลาง ด้วยการเชิญผู้รู้เข้ามาให้ความรู้ เพื่อการพัฒนาตนเอง ที่จะสามารถสู้กับการแข่งขันในอนาคต ทั้งผู้จัดสรรและทุนจากต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาตนเองร่วมกับพันธมิตร 

นอกจากนี้ยังมีมาตรการระยะกลาง-ยาว ที่จะต้องร่วมกับภาครัฐและพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ในการยกระดับมาตรฐานที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้แก่

1.คุณภาพ ปัจจุบันคุณภาพชีวิต นอกจากเรื่องความมั่นคงแข็งแรง ยังมีประเด็นเรื่องของสุขภาพ และค่าใช้จ่ายระยะยาวของผู้อาศัย

2.ต้นทุน ต้องพัฒนาการบริหารจัดการ ซึ่งจะต้องพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรและเทคโนโลยี

3.เวลา โดยช่วงเวลาผลิตและส่งมอบ ซึ่งในอดีตระยะเวลาในการส่งมอบที่อยู่อาศัยจะไม่เท่ากันและใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีทุนต่างชาติซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตที่มีความเร็ว จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องพัฒนาการแข่งขันด้านความเร็ว โดยคงทั้งด้านคุณภาพและต้นทุนได้ด้วย

อีกทั้งผู้ประกอบการ ภาครัฐและนักวิชาการ ทั้ง 3 ฝ่าย ต้องร่วมพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยต้องพัฒนาขนาดที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม เช่น พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน เกี่ยวกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ให้สอดคล้องกับแนวโน้มประชากรและไลฟ์สไตล์ พร้อมทั้งภาวะโลกร้อนซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอยู่ผู้อยู่อาศัยสูงขึ้น จำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องพัฒนานวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยใหม่ๆในอนาคต จะต้องมีกฎหมายและกฎระเบียบที่ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในอนาคตสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง โดยทางสมาคมฯจะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆเผยแพร่ความรู้ และร่วมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนและทุกภูมิภาค เนื่องจากสมาคมฯเป็นตัวผู้ประกอบการทุกขนาด ทุกระดับราคา ดังนั้นผู้ประกอบการขนาดเล็ก และกลาง สมาคมฯก็จะเน้นสนับสนุนความรู้ทางวิชาการและการมีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อกฎหมายและข้อระบบต่างๆด้วย

อยากสนับสนุนให้ตลาดอสังหาฯเป็นตลาดแข่งขันเสรี มีผู้ประกอบการมากหลายระดับ รายกลาง-เล็ก ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค มีโอกาสเติบโต เพราะไม่อยากให้ผู้ประกอบการลดเหลือน้อยราย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจของประเทศไม่โตกระจุกตัวอยู่เพียงแค่ในกรุงเทพฯ หรือแค่ไม่กี่แบรนด์”นายสุนทร กล่าว

นายสุนทร กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง 2567 ว่ามีทิศทางดีขึ้น ด้วยเหตุผล จากการใช้จ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐประจำปี 2567 จะเริ่มเบิกจ่ายได้ในไตรมาส 3/2567 และการประเมินการเติบโตสภาวะเศรษฐกิจจากสถาบันหลักๆ เช่น กระทรวงการคลัง ,ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.),สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute : TDRI) เป็นต้น ต่างมองทิศทางไตรมาส 3/2567 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีโอกาสเติบโตได้ 2.5-2.7% ในขณะที่ไตรมาส 4/2567 มีโอกาสโตได้มากกว่า 3% จึงทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนและการซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มดีขึ้น

ส่วนความท้าทายในครึ่งปีหลังนี้ จะเป็นในเรื่องของต้นทุนด้านพลังงาน ที่รัฐบาลจะต้องควบคุมให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และเกิดการชะลอซื้อบ้านอีก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในครึ่งปีหลังนี้  และต้องสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น จึงจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

อีกเรื่องคือ ปัญหาโลกร้อนในอนาคต เป็นสิ่งที่สมาคมฯหาทางดำเนินการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการอยู่อาศัยระยาวด้านพลังงาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ปกติคนไทยมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในบ้านเฉลี่ยประมาณ 1,000 บาท/คน/เดือน และภาวะโลกร้อนจะทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้สูงขึ้น ซึ่งสมาคมฯจะต้องร่วมมือกับนักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาที่อยู่อาศัย เข้าสู่ภาวะใกล้เคียง ZERO ENERGY CONSUMPTION และต้องรณรงค์ให้ผู้อยู่อาศัยช่วยกันปรับพฤติกรรมการอยู่อาศัย เพื่อลดผลกระทบที่ให้เกิดภาวะโลกร้อน เพื่อทำให้ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพราะกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้แต่ละครั้งนั้น ครอบคลุมทั้งประเทศ ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาวงการธุรกิจจัดสรรเพื่อผู้อยู่อาศัยในระยะยาว

You can share this post!