แสนสิริ รักษาระดับการเติบโต เผย 6 เดือนแรกเป็นไปตามเป้า ยอดขายที่ 25,000 ล้านบาท รายได้ร่วม 20,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท ผลงานจากการบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขายอย่างมีประสิทธิภาพ และ Sold Out
รวม 19 โครงการ มูลค่า 15,200 ล้านบาท มุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้นจากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุด ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 ส.ค. นี้ รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท ไฮไลต์แนวราบ แบรนด์ใหม่ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และคอนโดมิเนียมมาสเตอร์พีซล่าสุด ภายใต้ Aesthetic Collection
เตรียมจุดพลุใหญ่ กับ Strategic Location ปักธงภูเก็ต ต้อนรับ High Season เปิดใหญ่สิ้นปี
นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2567 แสนสิริมีผลงานยอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 25,000 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของเป้าทั้งปีที่ 52,000 ล้านบาท ทางด้านรายได้ ครึ่งปีแรกทำได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 บาท โตขึ้น 8% (เทียบ Year on Year) กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 (ไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท, ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท) อนึ่ง หากพิจารณาด้านกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (Core Profit) พบว่าเติบโตขึ้น 5% (เทียบ Year on Year)
จากกลยุทธ์ในการรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้นจากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้แสนสิริ ติดอันดับ 1 ในหุ้นกลุ่ม SETHD ที่จ่ายปันผลสูง (ข้อมุล ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 11.38%) โดยล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2567 ในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 กันยายน 2567 โดยการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการที่ดีของแสนสิริในอนาคต
ความสำเร็จในครึ่งปีแรก มาจากการ Sold Out รวม 19 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท อาทิ BuGaan (บูก้าน) พระราม 9-เหม่งจ๋าย, เศรษฐสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี, เอ็กซ์ที เอกมัย รวมถึง Business Model ใหม่ กับ Exclusive Residence ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Niche Market ด้วยโครงการขนาดเล็ก ยูนิตน้อย บน Prime Location ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย Sold Out อย่างรวดเร็ว เช่น ELSE (เอลซ์) กรุงเทพกรีฑา และ PYNN (พินน์) เริ่มโครงการแรกที่ PYNN ปรีดี 20
มียอดขายแล้วถึง 80% จ่อคิว Sold out พร้อมส่งต่อความสำเร็จให้โครงการล่าสุด PYNN ศูนย์วิจัย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการแรก ตลอดจนการเปิดโครงการใหม่ใน Strategic Location ในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ อณาสิริ พายัพ เปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนกุมภาพันธ์ สร้างยอดขายไปถึง 50% ของโครงการ และเศรษฐสิริ รวมโชค เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม สามารถปิดการขายเฟสแรกหมด 100% รวมถึง mekin HAUS (เมคิน เฮาส์) แบรนด์ HAUS โครงการแรกในเชียงใหม่และต่างจังหวัด พร้อมไฮไลต์คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกในเชียงใหม่ ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
รวมถึงพอร์ตบ้านเดี่ยวที่เติบโตแข็งแกร่ง จากรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี ทั้งการโอนต่อเนื่องของโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และนาราสิริ พหล - วัชรพล ที่มียอดขายที่ดี การต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยว “เศรษฐสิริ” ทำให้ต้องเปิดจองเฟสใหม่ 4 ทำเลฮอต ได้แก่ ราชพฤกษ์ – รามอินทรา – บางนา – ดอนเมือง ทางด้านคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม อาทิ เอ็กซ์ที พญาไท และ เดอะ เบส ไฮท์ เชียงใหม่ ที่กลุ่มลูกค้าเชียงใหม่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริตลอดมา รวมทั้งการจัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาดที่เข้มข้น จากกลยุทธ์การรักษายอดขายที่ดี
ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Joint Venture ยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการโอนคอนโดมิเนียมเดอะ ไลน์ ไวบ์ มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง แสนสิริ และ แรบบิท โฮลดิ้งส์ ในกลุ่มบีทีเอส คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่มียอดขายแล้วกว่า 70% สุดยอดทำเลศักยภาพตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไร และรักษาระดับการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา
“ครึ่งปีหลัง แสนสิริ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท ไฮไลต์แนวราบ เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ คือ “ณริณสิริ” (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียม (ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา และณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา) ราคาเริ่มต้นที่ 40-80 ล้านบาท พร้อมเปิดชมปลายปี ถัดมาคือ “เมเบิล” (Mabel) ทำเลแรกเมเบิล บางนา 26 ใกล้ทางด่วน ส่วนตัวเพียง 105 ยูนิต ราคา 6–8 ล้านบาท ทางด้านคอนโดมิเนียมเปิดตัว Affordable Condo อย่างต่อเนื่อง อย่างแบรนด์ดีคอนโด เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงาน มีดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมสูง และไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวโครงการบนสุดยอดทำเลศักยภาพในย่าน CBD บนทำเลสุขุมวิท ได้แก่ เวีย 61 ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ Aesthetic Collection ส่วนอีกหนึ่งโครงการใหม่จากซีรีส์ One of a Kind Project โดดเด่นบนทำเลศักยภาพบนสุขุมวิท 36 และที่สำคัญ ในช่วงสิ้นปี แสนสิริเตรียมเปิดโปรเจกต์ใหญ่ ปักธงภูเก็ต ต้อนรับ High Season ในสิ้นปี ในย่านบางเทา-เชิงทะเล ซึ่งเปรียบเสมือนย่านทองหล่อในภูเก็ตอีกด้วย จากภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากกว่าครึ่งปีแรก แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 127,000 ล้านบาท ส่งผลให้การดำเนินงานทั้งในด้านยอดขายและรายได้เติบโตต่อเนื่อง และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายวิชาญ กล่าว
แสนสิริขอบคุณลูกค้าทุกท่านและประชาชน เชื่อมั่นแสนสิริ แบรนด์อันดับ 1 กลุ่มอสังหาฯ ซึ่งผลสำเร็จในครึ่งปีแรกส่วนสำคัญมาจาก Branding ที่แข็งเกร่ง ที่ผู้บริโภคให้ความมั่นใจสูงสุดในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย กับรางวัลใหญ่แห่งปี Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศในทุก เซ็กเมนต์(บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม) ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษามาตรฐานการครีเอทผลงานบนโซเชียลมีเดียที่โดดเด่น รักษาตำแหน่ง No. 1 Thailand Socia Awards คะแนนสูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ ในรอบ 6 เดือนแรกของปีไว้ได้อีกด้วย