“พฤกษา โฮลดิ้ง” มั่นใจรัฐบาลชุดใหม่พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ มีการกระตุ้นใช้เงินมากกว่าชุดรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน”สร้างผลดีต่อประชาชน-ภาคเอกชน ลุ้นแบงก์ชาติปรับลดดอกเบี้ยช่วยดันผลประกอบการฟื้น-เพิ่มกำลังซื้อ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 67 ทำรายได้ 9,864 ล้านบาท ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโตต่อเนื่องในทุกมิติ ทำรายได้สูงขึ้น 19% เดินหน้าลงทุนตามแผน ก่อสร้างและเตรียมเปิดสถานพยาบาลต่อเนื่องอีก 6 แห่ง พร้อมแตกไลน์ธุรกิจ เปิดตัว “วิซลาห์ ทีเอช” อีมาร์เก็ตเพลสที่ครบทุกเรื่องของการตกแต่งภายในแบบครบวงจร พลิกโฉมวงการออกแบบและตกแต่งบ้าน ด้วยสมาร์ทเฟอร์นิเจอร์ เทคโนโลยีเอไอ เออาร์ แบบสามมิติ ให้การแต่งบ้านเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ต่อยอดการอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” แบบครบวงจร
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเช่นกัน แต่ทางตัวแทนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมก็มีการเร่งจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ แม้ว่าจะล่าช้าไปบ้าง แต่เชื่อว่านโยบายก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งประเทศไทยโชคดีที่ไม่ได้หยุดเดินหน้าแต่อย่างใด ส่วนใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น หากเป็นไปตามโพย ก็มองว่าน่าจะทำงานได้ดีกว่ารัฐบาลชุดก่อน ที่ใช้เวลาในการจัดงบประมาณที่ล่าช้า แต่รัฐบาลชุดใหม่จะมีการกระตุ้นการใช้เงินที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับประชาชนและภาคเอกชน
ส่วนเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต หากประสบความสำเร็จ คาดว่าต้องใช้เงินภาษีประมาณ 500,000-600,000 ล้านบาท และที่นักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิเคราะห์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) จะโตในระยะสั้น แต่ถ้าหากไม่ประสบความสำเร็จก็ถือว่าเจ๊าไปเท่านั้นเอง แต่จะมีความเสียหายมากน้อยเพียงใดนั้น ยังไม่สามารถตอบได้
สำหรับในครึ่งปีหลังที่ Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งอาจจะมีถึง 2 ครั้ง ก็ต้องมาลุ้นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยเช่นกันหรือไม่ หากทำได้ก็จะทำให้ผลประกอบการดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย บริษัทฯก็มีแพ็กเกจร่วมกับสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้น
นายอุเทน กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯในครึ่งปีแรกปี 2567 ว่า บริษัททำรายได้ 9,864 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 33% และยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.39 เท่า ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ ทำยอดโอนได้ 8,310 ล้านบาท และทำยอดขายได้ 7,478 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวมียอดขาย 2,696 ล้านบาท เติบโตราว 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เปิดโครงการใหม่ รวม 6 โครงการ มูลค่า 7,509 ล้านบาท
และในครึ่งปีหลังมีแผนเปิด 23 โครงการ มูลค่า 19,600 ล้านบาท จากเดิมทั้งปีมีแผนเปิดตัวทั้งหมด 29 โครงการ รวมมูลค่า 29,000 ล้านบาท แต่ได้มีการปรับลดโครงการทาวน์เฮาส์ไป 2 โครงการ และเพิ่มบ้านระดับพรีเมียมมาแทน 1 โครงการ ซึ่งมีโครงการไฮไลท์สำคัญที่กำลังจะเปิดใหม่ ได้แก่ โครงการ “เดอะปาล์ม ทวีวัฒนา” บ้านเดี่ยวหรู ขนาด 120 ตารางวา ราคา 20-25 ล้านบาท จำนวน 71 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,733 ล้านบาท และ “เดอะ ปาล์ม เรสซิเดนเซส พัฒนาการ” โครงการที่ได้รับการรับรองโดย Tree Certified Home ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่อาศัยใช้ไฟน้อยลงกว่า 50% และยังเป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่เน้นเรื่องการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ทุกโครงการออกแบบพื้นที่ใช้สอยเหมาะสมกับผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัย โดยนำนวัตกรรมด้านการอยู่อาศัยเข้ามาใช้ในขณะที่ยังใส่ใจ ด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ราคาเริ่มต้นที่ 35-40 ล้านบาท จำนวน 57 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,615 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2567
ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่าราว 4,900 ล้านบาท (คิดเป็น 65% ที่คาดว่าจะโอนได้ในปีนี้) และยังมีสินค้าที่ยังเปิดขายอยู่ มูลค่ารวม 62,577 ล้านบาท สามารถรองรับการเติบโตได้ถึง 2.5 ปี
และจากการที่เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เพื่อต่อยอดธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจพรีคาสท์อย่างจริงจัง เพิ่มความคล่องตัวให้แต่ละหน่วยงาน เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถบริหารจัดการ และมีอิสระในการวางแผนงานของตัวเองได้อย่างเต็มรูปแบบ สำหรับธุรกิจก่อสร้างภายใต้ชื่อ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” ปัจจุบันเป็นบริษัทก่อสร้างโครงการบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มอบบริการด้านการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One-stop Construction Service) สำหรับเจ้าของที่ดิน ซึ่งจะรับเหมาก่อสร้างโครงการแนวราบให้ผู้ประกอบการรายอื่นด้วย โดยทั้งปีตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจดังกล่าวที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้จากการรับเหมาก่อสร้างบริษัทภายนอกประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ราว 2,800 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจพรีคาสท์ ภายใต้ชื่อ “อินโน พรีคาสท์” ปัจจุบันมีโรงงานพรีคาสท์สีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และกำลังขยายศักยภาพการผลิตเพื่อรองรับการก่อสร้างคอนโดมิเนียมด้วย โดยเป็นโรงงานที่มีการปล่อยของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste) ผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำแห่งแรก และได้รับการรับรองฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ Carbon Footprint Reduction (CFR) เป็นรายแรกและรายเดียวของอุตสาหกรรมในประเทศไทย ปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ราว 4,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมองถึงการต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ครบวงจร และได้เปิดตัว “วิซลาห์ ทีเอช” ธุรกิจให้บริการ อีมาร์เก็ตเพลสที่ครบทุกเรื่องของการตกแต่งภายในแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งได้ร่วมทุนกับ “ซันเรย์ กรุ๊ป” บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ก่อสร้าง และตกแต่งภายในครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เปิดตัว วิซลาห์ ซูเปอร์ แอปฯ ในชื่อ “Wizlah TH” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มตัวกลางเชื่อมสถาปนิกและลูกค้าให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอีโคซิสเต็มการตกแต่งบ้าน มีจุดแข็งจากการนำเทคโนโลยี AI, AR และ 3D มาใช้ จำลองการตกแต่งภายในเพื่อวางเฟอร์นิเจอร์ในรูปแบบสามมิติเสมือนจริง ให้ลูกค้าเห็นภาพที่ชัดเจนก่อนสั่งชื้อได้ ซึ่งช่วยลด Pain Point ของลูกค้า จากความลังเลใจที่ไม่ได้เห็นและสัมผัสสินค้าจริง นอกจากนี้ ในส่วนของบริการออกแบบบิ้วอิน (Built-in) และ ฟิตอิน (Fit-in) ได้นำเทคโนโลยีผลิตจากโรงงานที่มีคุณภาพมาตรฐาน ใช้เวลาติดตั้งหน้างานด้วยระยะเวลาอันสั้น โดยลูกค้าสามารถ Customize ขนาดและสั่งผลิตให้พอดีกับพื้นที่ได้ ที่สำคัญไม่ทิ้งงาน 100% เพราะมีสถาปนิกคอยดูแลงานตั้งแต่ต้นจนจบ
“วิซลาห์ ซูเปอร์ แอปฯ ในชื่อ “Wizlah TH” จะเป็นตัวกลางในการรวบรวมผลงานออกแบบของสถาปนิก นักออกแบบ อินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์ และภูมิสถาปนิก ที่มากที่สุดในไทย ลูกค้าสามารถเข้ามาหาข้อมูลตกแต่งบ้าน หาไอเดียหรือแรงบันดาลใจในการออกแบบ เลือกซื้อสินค้าประเภทสมาร์ตเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน และอื่น ๆ ซึ่งนับว่าเป็นการ พลิกโฉมวงการออกแบบและตกแต่งบ้าน ทำให้การแต่งบ้านเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส พร้อมกันนี้ เราได้ต่อยอดธุรกิจ ด้วยการแนะนำบริการใหม่นี้ไปยังกลุ่มลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยของพฤกษาด้วย” นายอุเทน กล่าว
ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ มีทิศทางเติบโตในทุกมิติ ทำรายได้ครึ่งปีแรก 1,013 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยมีรายได้สูงสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นการเติบโตทั้งจากรายได้ของคนไข้ในและคนไข้นอก ในเชิงการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน และมีการผ่าตัดเพิ่มขึ้น ด้วยการพัฒนามาตรฐานให้เท่ากับโรงเรียนแพทย์ในระดับเดียวกัน รวมถึงการทำการตลาดออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ตะวันออกกลาง จีน และออสเตรเลีย และในช่วงระหว่างปีที่ผ่านมาวิมุตได้ร่วมทุนกับ “นำวิวัฒน์” เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “เซอร์วิโซ เฮลท์แคร์ โซลูชั่น” บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเพื่อให้เครื่องมือแพทย์ปราศจากเชื้อ บำบัดมูลฝอยติดเชื้อทางการแพทย์ และให้บริการด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ นอกจากนี้ วิมุตยังขยายฐานลูกค้าไปยังองค์กรขนาดใหญ่ ผ่านการเปิดตัวโปรแกรม วิมุต-นัลลูรี่ เพื่อดูแลผู้ใช้บริการป้องกันการเกิดโรคกลุ่มไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD และการบริการแก่ลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ในไทย เพื่อสร้างการต่อยอดสู่โรงพยาบาลวิมุต นำเสนอการตรวจสุขภาพและการรักษาพยาบาลในกรณีที่ลูกค้ามีความสนใจเพิ่มเติม รวมถึงได้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย ไมโครไบโอมในลำไส้แห่งแรกในประเทศไทย โดยความร่วมมือกับ AMILI บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพด้านจุลชีพในลำไส้ ที่มีความแม่นยำมากที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ วิมุตยังเดินหน้าตามแผนลงทุนมูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท เตรียมเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางย่านทองหล่อ 1 แห่ง และ เตรียมเปิดโรงพยาบาลดูแลผู้สูงวัย 2 แห่ง ย่านวัชรพลและ แบริ่ง และศูนย์ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงวัยอีก 3 แห่ง ย่านแจ้งวัฒนะ พระราม 2 และจรัญสนิทวงศ์ ร่วมกับ เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป ผู้นำด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย ทั้งหมดเพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มในเครือพฤกษา ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตตามกรอบแนวคิด “อยู่ดี มีสุข”