news-details
Business

KBANK หวั่น “ทรัมป์”ชนะเลือกตั้ง ปรับขึ้นภาษี ไทยฐานะคู่ค้าอันดับ 11 กระทบ GDP 0.3-0.4% แน่ แนะรมว.คลังคนใหม่ ต้องมีนโยบายกระตุ้น-ตอบโจทย์นักลงทุนต่างชาติ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยการเลือกตั้งทั่วโลกปี 2567 ไม่กระทบไทยเท่าสหรัฐฯ หาก “โดนัลด์ ทรัมป์”ได้ชัยชนะเป็นประธานาธิบดี ประกาศขึ้นภาษีทุกประเทศ 10% เชื่อกระทบ GDPไทย 0.3-0.4% ในช่วง 2 ปี ในฐานะคู่ค้าอันดับ 11 แนะรมว.คลัง คนใหม่ควรมีประสบการณ์ แต่ต่างชาติจะมองที่นโยบายคลังต้องกระตุ้นและตอบโจทย์

 

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ในเครือธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)หรือ KBANK เปิดเผย ในงานเสวนาภายใต้หัวข้อ “การเลือกตั้งทั่วโลกปี 2024 จับตาการลงทุนและความท้าทายที่รออยู่” ว่า หากมองย้อนไปตั้งแต่ต้นปี 2567 จะพบว่าปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกตั้งของประเทศต่างๆจากทั่วโลก เริ่มต้นจากประเทศอังกฤษ จะพบว่ามีความเหลื่อมล้ำมากโดยเฉพาะทางใต้ของประเทศ จะมีการสร้างบ้านให้มากขึ้น แล้วจะมีการให้ประชาชนสามารถพบแพทย์ได้มากขึ้นมีการสร้างระบบ สาธารณูปโภคของภาครัฐ มากขึ้น

 

สหรัฐอเมริกา ถ้า นางกมลา แฮร์ริส ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ก็จะยังไม่ค่อยมีผลกระทบมาก เพราะนโยบายก็จะคล้ายๆเดิม แต่ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี จะมีการปรับขึ้นภาษี 60% จากจีน และ 10% จากทุกประเทศ เชื่อว่าผลกระทบของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไทยน่าจะมากกว่า เพราะมีการประเมินว่าไทยเป็นอันดับ 11 ที่เป็นคู่ค้ากับสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบดังกล่าวค่อนข้างมาก 0.3-0.4% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า รวมไปถึงการรณรงค์เรื่องคลีนจะหยุดไป 4 ปี นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) จะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งชาวสหรัฐฯ เชื่อว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมา สงครามจะจบและจะดีในเรื่องของการก่อสร้าง รวมไปถึงเงินดอลล่าร์จะแข็งค่าขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะเดียวกันประเทศที่ไม่ค่อยมีการค้ากับสหรัฐจะไม่ค่อยได้ผลกระทบ เช่น ซาอุดีอาระเบีย

 

“ไม่ว่าใครจะได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เราก็ต้องพัฒนาตัวเองในด้านปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ปัญหาด้านกฎหมายที่ซับซ้อน ที่สามารถดำเนินการได้เอง หรือแก้ปัญหาระยะยาวเอง เช่น เรื่องการศึกษา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาที่นาน แต่ถ้าเด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถมีการศึกษาที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ของโลก ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล ซึ่งต้องเริ่มดำเนินการ” นายบุรินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตามคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) น่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน 2567 ดังนั้นสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ ก็เป็นจังหวะที่ลงทุนได้ และเมกะเทรนด์เรื่อง AI อาจจะเป็นการผลิตชิป แต่ผู้ที่ทำ AI เอง อาจจะมีคู่แข่งมาก ซึ่งไม่ทราบว่าในที่สุดใครจะเป็นผู้นำ ซึ่งก็มีความเสี่ยง แต่ถ้าเป็นต้นน้ำ ไม่ว่าใครจะชนะก็ต้องมาผลิตชิปอยู่ดี แต่ก็อาจจะทำให้ลดความเสี่ยง ส่วนธุรกิจเฮลท์แคร์ ด้านสาธารณสุข ก็มีความน่าสนใจ เพราะปัจจุบันสังคมสูงวัยเริ่มมีมากขึ้นไปทั่วโลก จึงคิดว่าการลงทุนด้านเฮลท์แคร์ น่าสนใจเป็นอย่างมาก

 

ทั้งนี้ในความเห็นส่วนตัวมองว่าเงินดิจิทัลวอลเล็ต ควรให้เฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็นจริงๆ ส่วนเงินที่เหลือก็นำไปกระตุ้นในเรื่องต่างๆ เช่น นำรถเก่าไปแลกรถใหม่  หรือ ช่วยในเรื่องบ้านหลังแรก หรือไปกระตุ้นเรื่องเงินลงทุนอื่นๆ เป็นต้น ส่วน GDP ในประเทศไทยคาดว่าจะคงอยู่ที่ 2.6% ซึ่งรวมเงินดิจิทัลวอลเล็ดตเข้าไปแล้วที่ 0.2% หากรัฐบาลยังมีนโยบายเศรษฐกิจที่คงเดิมก็จะไม่มีผลต่อการปรับลด GDP ปี 2567 นี้ แต่ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ก็จะมีการปรับลด GDP ลง  ซึ่งคงไม่หลุดที่ระดับ 2%

 

สำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ที่จะมารับตำแหน่งนั้น มองว่าควรเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ แต่หลักๆมองว่าชาวต่างชาติจะดูที่นโยบายด้านการคลังจะไปกระตุ้นหรือตอบโจทย์ได้หรือไม่ ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าตัวบุคคล

“ตอนนี้ประเทศไทยยังดีที่รัฐบาลยังมีความต่อเนื่อง อย่างน้อยก็หวังว่าเงินงบประมาณในปีนี้และปีหน้าจะไม่ช้า ซึ่งเชื่อว่าดีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา” นายบุรินทร์ กล่าวในที่สุด

You can share this post!