ไฮเออร์ กรุ๊ป ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1984 (พ.ศ.2527) โดยเริ่มต้นทำธุรกิจสินค้ากลุ่มแรกคือ โรงงานตู้เย็นขนาดเล็ก ในเมืองชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจนี้เกิดจากการลงขันร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางการค้ากลุ่มหนึ่งจำนวนหลายราย ปัจจุบัน ไฮเออร์ เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะจำนวนมาก อาทิ Haier, Casarte, Leader, GE จากสหรัฐอเมริกา, Fisher & Paykel จากนิวซีแลนด์, AQUA จากญี่ปุ่น และ Candy จากอิตาลี ทั้งนี้ยังมีแบรนด์ทางด้านงานบริการ เช่น RRS, Yingkang Life , COSMOPlat เป็นต้น อีกทั้งแบรนด์ทางด้านนวัตกรรมและวัฒนธรรม เช่น Haier Brothers
กลุ่มบริษัทไฮเออร์ เข้ามาศึกษาตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 2545 ต่อมาปี พ.ศ. 2550 ได้ซื้อกิจการโรงงานของบริษัท ซันโย ยูนิเวอร์แซล ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พร้อมตั้งบริษัทขายของตัวเอง คือ บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งผลให้ไฮเออร์ ในประเทศไทย มีฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฐานการผลิต และบริษัทขายเป็นของตัวเอง ตามกลยุทธ์ 3in1 Localization ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ไฮเออร์ ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยได้แก่ ตู้เย็น ตู้แช่ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศโทรทัศน์ เครื่องทำน้ำอุ่น และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว
คาดการณ์ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าฟื้นตัวในไตรมาส 4/67
มร. ต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยว่าแม้เศรษฐกิจจะยังไม่ค่อยดี แต่ก็มีแนวโน้มจะฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2567 เพราะรัฐบาลพยายามที่จะออกมาตรการต่างๆออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การแจกเงิน 10,000 บาท ในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งก็ช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้ในระยะหนึ่ง สำหรับกลุ่มไฮเออร์ฯนั้นก็ยังมีความมั่นใจในการลงทุนในประเทศไทย เพราะมองว่ายังมีพื้นที่ในการสร้างแบรนด์ให้เติบโตได้อีกอย่างต่อเนื่อง และมีช่องทางการขายและผลิตภัณฑ์อีกมาก โดยคาดว่าปีนี้ตลาดรวมจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 11% โดยไฮเออร์ อยู่ที่อันดับ 2 ของตลาดรวม
สำหรับแผนการตลาดของไฮเออร์ ในประเทศไทย ที่ปีนี้ครบรอบ 22 ปี ได้วางงบการตลาดไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดกิจกรรมสปอร์ตมาร์เก็ต และกิจกรรมโรดโชว์กว่า 300 งาน ปัจจุบันใช้งบไปแล้วประมาณ 700-800 ล้านบาท และในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่กว่า 11,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2566 ที่ผ่านมาประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายรวมแล้ว 9,800 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้มที่ 400 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณกว่า 14,000 ล้านบาท
“การทำตลาดของเราจะไม่เน้นการทำสงครามราคา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเลย เพราะไม่ใช่กลยุทธ์ในระยะยาว โดยไฮเออร์ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ 22 ปี แล้ว มองเห็นการแข่งขันในรูปแบบนี้มาโดยตลอด ซึ่งเราจะให้ความสำคัญในเรื่องของความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์มากกว่าที่เน้นในเรื่องของการใส่ใจคุณภาพ ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทที่ทำยอดขายได้เป็น 3 ลำดับแรกคือ เครื่องปรับอากาศ ,ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า” มร.ต่ง กล่าว
อีก 3 ปี กำลังผลิตเครื่องปรับอากาศพุ่ง 35% มั่นใจขึ้นแท่นเบอร์ 1
มร.ต่ง กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งแรกในประเทศไทย บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ หรือประมาณ 324,000 ตารางเมตร ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จ.ชลบุรี โดยใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท หวังให้ประเทศไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางการผลิตที่ครบวงจร และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกทั่วโลกในอนาคต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2568 โดยในปีแรกจะสามารถเดินกำลังผลิตเครื่องปรับอากาศได้จำนวน 3 ล้านเครื่อง และจะสามารถเดินเครื่องเต็มกำลังผลิตได้ 6 ล้านเครื่อง ในปี 2569 โดยจะเป็นการจำหน่ายในประเทศไทย สัดส่วน 70% และส่งออกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสัดส่วน 30% ซึ่งจะทำให้ไฮเออร์มีส่วนแบ่งตลาดเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 35% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 13% ซึ่งจะทำให้ไฮเออร์ ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า
อีกทั้งยังมีแผนที่จะส่งออกไปประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพิ่มด้วย ซึ่งเดิมมีโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น อยู่ที่จ.ปราจีนบุรี ซึ่งผลิตสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย 50% และส่งออกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,ยุโรป และสหรัฐอเมริกา สัดส่วน 50% ส่วนโรงงานที่ จ.ระยอง นั้นจะผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และเมนบอร์ด
ทุ่มงบ 3.5 ล้านบาท จัดวิ่งมินิมาราธอนผ่านแลนด์มารค์สวยริมเจ้าพระยาครั้งแรก
ล่าสุดบริษัทฯได้ทุ่มงบประมาณ 3.5 ล้านบาท ในการจัดงาน “Haier Run 2024 Run to the Future” ถือเป็นอีกกิจกรรมใหญ่ที่จัดขึ้นในวาระที่ไฮเออร์ ประเทศไทย ครบรอบ 22 ปี และนับเป็นปีที่ 5 สำหรับงานวิ่งมินิมาราธอนสุดยิ่งใหญ่แห่งปีที่ทุกคนรอคอย ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดของไฮเออร์ จากการใช้กลยุทธ์สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ดึงกีฬาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคน รวมถึงการส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้ผู้บริโภคและลูกค้าได้มีประสบการณ์ร่วมตลอดจนเชื่อมั่นในแบรนด์จนนำไปสู่การสร้างแบรนด์เลิฟ สะท้อนการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมเยาวชนไทยให้รักและใส่ใจสุขภาพผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมด้านการกีฬามาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการต่อยอดจากงานวิ่งในปีก่อน ๆ ที่ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากนักวิ่งมืออาชีพและมือสมัครเล่นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป โดยมีผู้ลงสมัครเข้าร่วมกิจกรรมวิ่งกว่า 5,000 คน ซึ่งความพิเศษของงานในปีนี้ คือ การร่วมมือกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากทั้งการกีฬาแห่งประเทศไทย และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเส้นทางวิ่งแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่สวยที่สุดเป็นครั้งแรกแบบไม่ซ้ำใคร เริ่มตั้งแต่ถนนเส้นเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ที่พร้อมให้นักวิ่งทุกคนร่วมรับชมความงดงามของแลนด์มาร์คชื่อดังที่ต้องห้ามพลาดบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา และสะพานกรุงเทพ โดยมีระยะวิ่งฟันรัน 5 กิโลเมตร และระยะมินิมาราธอน 10.5 กิโลเมตร ซึ่งมีรางวัลเป็นเงินสด และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฮเออร์มากมายรวมมูลค่ากว่า 600,000 บาท อีกทั้งผู้ชนะรางวัลประเภทรวม 3 อันดับแรกจะได้บินลัดฟ้าไปร่วมสัมผัสงานวิ่งระดับโลกในการแข่งขันชิงเต่า มาราธอน 2025 ณ ประเทศจีน อีกด้วย
มร.ต่ง กล่าวว่า งานครั้งนี้ยังจัดขึ้นเพื่อสอดรับกับเทรนด์การท่องเที่ยวทั่วโลก ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงกีฬาหรือ Sport Tourism ที่ยังคงมีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง พร้อมร่วมส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยการนำเอากีฬาเข้ามาควบรวมกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งด้านกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งของไฮเออร์ ที่ต้องการสร้างภาพจำให้กับแบรนด์รวมถึงการส่งต่อแนวคิด More Creation, More Possibilities โดยตั้งเป้าหมายเพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยว และคนไทยสายรักสุขภาพได้เข้าร่วมการแข่งขันหรือมีส่วนร่วมเข้าชมงาน อันก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการสร้างโอกาสกระจายรายได้สู่พื้นที่ในชุมชน และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567
ผู้ชนะ 3 ลำดับแรกลุ้นร่วมแข่งขัน “ชิงเต่า มาราธอน 2025”
การแข่งขัน Haier Run 2024 Run to the Future จะจัดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เวลา 04.00 – 10.00 น. โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระยะฟันรัน 5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 450 บาท และระยะมินิมาราธอน 10.5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 550 บาท มีจุดปล่อยตัวที่เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ และวิ่งชมเส้นทางแห่งใหม่ตลอดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านจุดสำคัญต่าง ๆ อาทิ ถนนเจริญกรุง ถนนเจริญนคร และสะพานกรุงเทพ ซึ่งสิ่งที่นักวิ่งจะได้รับสำหรับงานนี้ คือ เสื้อวิ่งที่ระลึกจากการแข่งขัน เหรียญ Finisher เมื่อวิ่งจบภายในเวลา กระเป๋าที่ระลึก BIB & Chip Time เบอร์วิ่ง พร้อมชิพจับเวลา (สำหรับระยะมินิมาราธอน 10.5 กิโลเมตร) ประกันอุบัติเหตุตลอดการแข่งขัน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด) โดยมีเงินรางวัล และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฮเออร์ให้กับผู้ชนะในแต่ละรุ่นอายุ และพิเศษกว่าทุกปี สำหรับผู้ชนะรางวัลประเภทรวม 3 อันดับแรกจะได้ไปร่วมสัมผัสงานวิ่งระดับโลกในการแข่งขัน “ชิงเต่า มาราธอน 2025” ณ ประเทศจีน ทั้งนี้รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิดวงใจใหม่ และสภากาดไทย