ปัจจุบันความต้องการในตลาดการรักษาผู้มีบุตรยากทั่วโลกมีการเติบโตต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านอัตราการเกิดใหม่น้อยลง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ และการตระหนักรู้ประเด็นภาวะมีบุตรยากที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของ Fertility Tourism ที่สำคัญของตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยาก เพราะเทรนด์ธุรกิจ การทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertilization : IVF) มีการแข่งขันที่สูง และเติบโตมากขึ้น อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยยังต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ,ออสเตรเลีย,สิงคโปร์ ทำให้มีค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งประมาณ 4,1OO ดอลลำร์สหรัฐ ส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตกว่า 1,96O ล้ำนดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นการเติบโต 14.6% ต่อปี
อีกทั้งด้วยปัจจัยหนุนด้านนโยบายภาครัฐ ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) ความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ,ค่ารักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้ และจากการที่มีการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา จะยิ่งส่งผลให้ความต้องการมีบุตรโดยการพึ่งพาความเชี่ยวชาญจากแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น ประกอบกับในปี 2568 รัฐบาลจะมีการส่งเสริมการมีบุตรเป็น “วาระแห่งชาติ”มากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเด็กเกิดน้อยต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสถิติสาธารณสุขปี 2565 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 485,085 ราย น้อยที่สุดในรอบ 70 ปี มีจำนวนการเกิดยังน้อยกว่าการตาย ทำให้จำนวนประชากรลดลงตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย อาทิ สภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว, ค่าครองชีพสูงขึ้น, การมีบุตรยาก และ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีครอบครัวแต่ไม่นิยมมีบุตร เป็นต้น
นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อินสไปร์ ไอวีเอฟ ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มนักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มศูนย์บริการผู้ที่มีบุตรยากทั่วไปที่ส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวของแพทย์ โดยที่ผ่านมาเป็นศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้บริการแต่ละบุคคล และการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักที่ใช้บริการประกอบด้วย
1.คู่สมรสที่ประสบปัญหามีบุตรยาก (Infertility)
2.ลูกค้าที่ต้องการวางแผนมีบุตรในอนาคต แต่ยังไม่ต้องการมีบุตรในปัจจุบัน
3.กลุ่มลูกค้าที่ต้องการเสริมสร้างและปรับสมดุลร่างกาย
โดยบริษัทฯมีโครงสร้างรายได้หลักมาจากการให้บริการใน 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
1.การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก (Fertility) ประกอบด้วยวิธีการทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ซึ่งคือกระบวนการตั้งแต่การกระตุ้นไข่ เก็บและคัดเลือกเซลล์ไข่และอสุจิที่ดีที่สุดมาทำการปฏิสนธิกัน นอกร่างกายและนำตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้วย้ายกลับเข้าโพรงมดลูก และการรักษาด้วยวิธีการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก IUI (Intrauterine insemination) ซึ่งเป็นการฉีดน้ำเชื้ออสุจิที่ได้จากการคัดเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูกฝ่ายหญิงในวันที่ฝ่ายหญิงมีการตกไข่ เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ และเพิ่มโอกาสการประสบความสำเร็จในการปฏิสนธิ นอกจากนี้ยังมีการให้บริการอื่น ๆ เช่น การตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (PGT) การรักษาภาวะการเจริญพันธุ์ เป็นต้น
2.การให้บริการด้านเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟู โดยเป็นศาสตร์การดูแลด้านสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Medicine) ช่วยฟื้นฟูความเสื่อมของสุขภาพและปรับสมดุลให้กับร่างกายเพื่อให้กลไกต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการให้บริการ 2 รูปแบบ ได้แก่ Double Filtration Plasmapheresis (DPPP) ซึ่งเป็นกระบวนการทำให้เลือดสะอาดบริสุทธิ์โดยใช้ตัวกรองที่มีความเฉพาะเจาะจง และการให้บริการฉีดวิตามินเพื่อบำรุงผิวและเสริมสร้างฮอร์โมน โดยบริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจและได้เปิดให้บริการดังกล่าวในปี 2566 และมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10% ของรายได้รวมในปี 2566
นางสาวเกศิณี กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันคลินิกเฉพาะทางในเรื่องการักษาผู้มีบุตรยากในกทม.มีไม่เกิน 5 แห่ง และนับวันจะยิ่งมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งในเรื่องสงครามราคา แต่บริษัทฯจะเน้นในเรื่องของการประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้ให้บริการมากกว่าเน้นเรื่องสงครามราคา ส่งผลให้มีลูกค้า โดยเฉพาะชาวต่างชาติมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และมั่นใจว่าผู้ประกอบการไทยจะสามารถแข่งขันสู้ในตลาดโลกได้ วัดได้จากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯมีลูกค้าต่างชาติมาใช้บริการมากถึง 80% โดย 3 อันดับแรก คือ อินเดีย จีน และเวียดนาม ที่เหลือเป็นออสเตรเลีย ฮ่องกง เอธิโอเปีย และประเทศในแถบตะวันออกกลาง โดยเป็นลูกค้าที่มีใช้บริการโดยตรงกับบริษัทฯสัดส่วน 20% และอีก 80% มาจากพันธมิตรต่างๆในหลากหลายช่องทาง อาทิ พันธมิตรจากโรงพยาบาลต่างๆ และเอเจนซี่ เป็นต้น ซึ่งการให้บริการจะขายในรูปแบบของแพ็กเกจ ราคาตั้งแต่ 400,000-500,000 บาท/ราย ที่ชำระค่าบริการก่อนตามกระบวนการรักษา ซึ่งจะแบ่งตามอายุ หากลูกค้ามีอายุมาก จำนวนไข่จะมีน้อย ก็ต้องใช้ตัวยากระตุ้นเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์มาก โดยลูกค้าที่มีอายุมากสุดคือ 50 กว่าปี ส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือนจึงจะประสบความสำเร็จ โดยลูกค้าที่มาใช้บริการจะประสบความสำเร็จในสัดส่วน 70-76% หากรวมทั้งตลาดพบว่ามีผู้ใช้บริการประสบความสำเร็จเฉลี่ยประมาณ 48 %
“เราพร้อมให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์แบบครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ตลอดจนการรักษาอย่างเหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ มาตรฐานการรักษาด้วยอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงโดยเฉลี่ยที่ 70-76% ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์เฉลี่ยของประเทศไทย” นางสาวเกศิณี กล่าว
ทั้งนี้ อินสไปร์ ไอวีเอฟ มุ่งยกระดับมาตรฐานการรักษาลูกค้าผู้มีบุตรยากและเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของคู่สมรส ภายใต้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ “Simplicity in Every Step” ทำให้ทุกฝันเป็นเรื่องง่าย และเป็นไปได้จริง เพื่อเติมเต็มทุกโอกาสของการมีบุตร พร้อมสร้างฝันของผู้มีบุตรยากให้เกิดขึ้นได้จริงและเป็นเรื่องง่ายในทุกๆ ขั้นตอน เคียงข้างไปกับผู้ใช้บริการทุกท่านด้วยบริการที่มีคุณภาพ คุ้มค่า และครบวงจรด้วยมาตรฐานสากล ผ่านศักยภาพใน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้
-ครบครันด้วยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทีมผู้ชำนาญการการรักษาผู้มีบุตรยากที่มากด้วยประสบการณ์และครอบคลุมศาสตร์การรักษาในหลายแขนง ทั้งแพทย์ด้านสูตินารีเวช วิสัญญีแพทย์ นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน นักวิทยาศาสตร์คัดกรองทางพันธุกรรม พยาบาล ฯลฯ
-ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีการดูแลที่ทันสมัย มุ่งมั่นพัฒนาและลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ลดระยะเวลาในการรักษาและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วย อาทิ EmbryoScope ตู้เลี้ยงตัวอ่อนที่สามารถติดตามการเจริญเติบโตของตัวอ่อนได้แบบเรียลไทม์ พร้อมประเมินคุณภาพตัวอ่อนด้วยเทคโนโลยีเอไอ (AI), LensHooke® เครื่องตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำเชื้อ ที่ครอบคลุมความเข้มข้น การเคลื่อนไหว รูปร่าง รวมถึงโอกาสการติดเชื้อ ฯลฯ
-คว้ามาตรฐานด้านการจัดการคุณภาพระดับสากล อินสไปร์ ไอวีเอฟ ถือเป็นบริษัทแรกของกลุ่มธุรกิจ IVF ในเอเชียที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน AACI (American Accreditation Commission International) จากประเทศสหรัฐอเมริกา และ ISO9001 หรือมาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ (QMS) ซึ่ง AACI ถือเป็นมาตรฐานสากลเดียวในปัจจุบันที่สามารถรับรองได้ทั้ง International Healthcare Standard และ ISO9001 นอกจากนั้น ยังเป็นบริษัทที่สองในกลุ่มธุรกิจ IVF ของโลกที่ได้รับการรับรองจาก Global Healthcare Accreditation ในโปรแกรมเฉพาะ COVID-19 สำหรับการท่องเที่ยงเชิงการแพทย์
-ใส่ใจในทุกข้อกังวลของผู้มีบุตรยาก พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดราวกับคนในครอบครัว เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด บนพื้นฐานของความเข้าใจในความกังวลของผู้ใช้บริการที่มีต่อกระบวนการรักษาที่ซับซ้อน ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นใจและเดินเคียงข้างความฝันของผู้รับบริการ
-เครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ด้วยเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็ง พร้อมเติบโตร่วมกับบริษัท
“แม้ในช่วงปี 2564 อินสไปร์ ไอวีเอฟ ได้รับผลกระทบจากการปิดประเทศในช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ได้ปรับตัวโดยได้เพิ่มการบริการด้าน Wellness ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนวางแผนกลยุทธ์เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เห็นได้จากผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา (นับตั้งแต่ปี 2564-2566) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 228.78% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายและให้บริการ ที่ 11.24 ล้านบาท, 63.31 ล้านบาท และ 121.55 ล้านบาท ตามลำดับ”นางสาวเกศิณี กล่าว
ทั้งนี้ อินสไปร์ ไอวีเอฟ มุ่งสร้างการเติบโตและขยายผลทางธุรกิจ ที่ครอบคลุมการยกระดับทีมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงคัดสรรและพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ให้พร้อมดูแลลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ควบคู่กับการรักษามาตรฐานการบริการอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น ยังมีเป้าหมายในการเติบโตสอดคล้องกับแผนการ IPO จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่เพิ่งยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานก.ล.ต.ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และใช้ในการขยายสาขาให้บริการทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายการเติบโตของอินสไปร์ ไอวีเอฟ ไปในระดับนานาชาติ
“อินสไปร์ ไอวีเอฟ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อความยั่งยืนของกิจการ และสังคมโดยรวม (ESG) เรามีนโยบายสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพราะเชื่อว่าโลกที่น่าอยู่จะช่วยเติมเต็มความสุขให้กับทุกครอบครัวได้อย่างยั่งยืน เราเสริมสร้างจิตสำนึกให้พนักงานทุกคนได้นำองค์ความรู้ที่มีคืนกลับเป็นประโยชน์ให้กับสังคม และให้บริการที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมเป็นส่วนสำคัญในเคียงข้างทุกครอบครัว และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของเราที่เป็นมากกว่าศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากแบบครบวงจร แต่เรายังมุ่งสร้างแรงบันดาลใจสู่คู่รักนับล้านให้เชื่อว่า การมีครอบครัวเป็นเรื่องง่าย และเป็นไปได้จริงอีกด้วย” นางสาวเกศิณี กล่าวในที่สุด