news-details
Business

“กอบศักดิ์ ภูตระกูล”หวั่น 3 ปัจจัยเสี่ยง กระทบเศรษฐกิจโลกปี’68 ในวงกว้าง ระบุหนี้ครัวเรือนไทยยังเป็นปัญหาใหญ่ฝังลึกยากแก้ไข

“กอบศักดิ์ ภูตระกูล” เผยหลายธุรกิจอยู่ในยุคการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เรื่อง Green และ Supply Chain ระบุโอกาสของ BBL พร้อมรุกเดินหน้า-ปรับตัวต่อเนื่อง คาดการณ์แม้เศรษฐกิจไทยปี 67 จะขยายตัวแต่ยังไม่แตะระดับ 3% หวั่นปี 68 รับมือ 3 ปัจจัยเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง รวมทั้งหนี้ครัวเรือนยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากในการแก้ไข

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายธุรกิจอยู่ในระหว่างการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยี ,เรื่องGreen และ Supply Chain ต่างๆ ซึ่งโอกาสของ BBL ที่จะเดินหน้าไปข้างหน้ายังมีอีกมาก และต้องมีการปรับตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในช่วงระยะเวลาอีกประมาณ 2 เดือนของปี 2567 นี้  ยังได้รับอานิสงส์จากภาคการส่งออกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 30 ล้านคน ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกสบายใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยมากยิ่งขึ้น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 น่าจะขยายตัวมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่แตะระดับ 3%

อย่างไรก็ตาม ยังคงมี 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ตนยังคงเป็นห่วงและเกรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ประกอบด้วย

1.การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 เนื่องจากผู้สมัครฯทั้ง 2 คนต่างก็มีนโยบายที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อว่าจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตามมา ส่วนจะเป็นอย่างไร และรัฐบาลไทยควรจะรับมืออย่างไรนั้น คงต้องรอให้เห็นความชัดเจนเสียก่อน

2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซีย และ ยูเครน หรือ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางบางกลุ่ม ที่ขยายวงกว้างมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะยุติเมื่อใด หรืออาจขยายผลมากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจมากที่สุด เพราะจะส่งผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะปัญหาราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในภาคการผลิตและภาคการขนส่ง รวมถึงการปรับขึ้นของราคาสินค้าที่จะเกิดขึ้นตามมา

3.ปัญหาเศรษฐกิจจีน ที่ยังมีความน่ากังวลหลายเรื่อง  โดยเฉพาะจาก ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการเงินและการธนาคารของจีน ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจีนจะออกมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผ่านมาตรการต่างๆ หลายมาตรการ แต่เพราะยังไม่ได้ลงลึกถึงปัญหาอย่างแท้จริง ทำให้การแก้ไขปัญหาจึงยังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และส่งผลทำให้กำลังซื้อของคนจีนเหลือน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศจีนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก” ไม่สามารถซื้อสินค้าได้อย่างที่ควรจะเป็น และส่งผลกระทบต่อประเทศที่ส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน โดยหนึ่งในนั้น มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ล้วนไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก แต่ที่น่ากังวลใจมากที่สุดและเชื่อว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยมากที่สุดก็คือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (สงครามความขัดแย้ง) โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงจนมิอาจจะประเมินผลภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2568 ได้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจในประเทศไทย ก็คือ ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ซึ่งแม้รัฐบาลและธนาคารของรัฐ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ จะมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยากันไปบ้างแล้ว แต่เนื่องจากโครงสร้างของปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนนั้นลงลึกเกินกว่าจะแก้ไขได้ง่ายในช่วงเวลาที่รวดเร็ว จึงทำให้ปัญหาดังกล่าวอาจเป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจมีปัญหาตามมาได้เช่นกัน ซึ่งยังไม่นับรวมปัญหาหนี้สินนอกระบบ ที่ยากจะควบคุมและแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหนี้สินประเภทดังกล่าว ถือว่าเป็นปัจจัยลบที่ไปลดกำลังซื้อของคนไทยเป็นอย่างมาก

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่ากรณีที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบาย โดยแสดงความจำนงที่จะสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจากชาติตะวันตก และการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ (บราซิล,รัสเซีย,อินเดี,จีน และแอฟริกาใต้ : BRICS)  ที่กำลังขยายจำนวนชาติสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มมีแนวทางการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องและเหมือนจะขัดแย้งกันนั้น โดยส่วนตัวเห็นด้วยที่รัฐบาลจะสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งในส่วนของ OECD นั้น ตนในช่วงที่อยู่ร่วมงานกับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา (รัฐบาลชุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ) มีโอกาสไปร่วมเจรจาเพื่อขอสมัครเข้าร่วมกลุ่ม OECD ซึ่งหากประเทศไทยได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกฯแล้ว เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย เนื่องจาก OECD เป็นกลุ่มที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนามาตรฐานในระดับสากล อีกทั้ง ยังจะช่วยสร้างมาตรฐานในด้านต่างๆ และช่วยยกระดับให้กับประเทศสมาชิกเข้าใหม่ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้มองว่า การสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ก็นับเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากเป็นกลุ่มเกิดขึ้นใหม่ที่จะมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ที่สำคัญกลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มที่ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ (28% ของ GDP โลก) มีประชากรมากถึง 39% ของประชากรโลก และมีกำลังซื้อที่สูง จำเป็นที่รัฐบาลไทยจะต้องรีบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกให้ได้โดยเร็ว และควรเป็นสมาชิกเข้าใหม่เป็นลำดับต้นๆ ด้วย

สำหรับ แนวโน้มการเติบของ ธนาคารกรุงเทพ มองว่าในปี 2567 นี้ ยังมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะทิศทางการเติบโตของสินเชื่อในภาพรวม แต่ยังระบุไม่ว่าจะเติบโตเท่าใด เนื่องจากยังเหลือเวลาอีกกว่า 2 เดือนกว่าจะถึงสิ้นปี 2567 ส่วนประมาณการการเติบโตในปี 2568 นั้น ปกติผู้บริหารของทุกองค์กรธุรกิจจะคาดการณ์จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศ เช่น ในปี 2568 หากรัฐบาลคาดหวังจะเห็นการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 3% ทางภาคเอกชนก็จะใช้ตัวเลขดังกล่าวเป็นฐานการประเมินการเติบโตในปีเดียวกันราว 1.5 เท่า หรือประมาณ 4.5% นั่นเอง

 

 

You can share this post!