news-details
Business

“แสนสิริ”ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท ผุด“เดอะ แมนเนอร์” รร.ระดับลักชัวรี่ ครั้งแรก ใจกลาง SoHo มหานครนิวยอร์ก บริหารโดยกลุ่ม Hyatt ถือเป็นการขยายพอร์ต ตปท.ในรอบกว่า 10 ปี

บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI  เผยโฉมความภาคภูมิใจล่าสุด สร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการอสังหาฯและโรงแรมอีกครั้ง ประกาศ เปิดตัว “The Manner” (เดอะ แมนเนอร์) ลักชัวรี่โฮเทล มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท รับกระแสเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นแลนด์มาร์กใหม่  ที่สร้างสรรค์อย่างหรูหรา คลาสสิก ผสานงานคราฟท์ในทุกดีเทล บนที่สุดของทำเลใจกลางโซโห (SoHo)  ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หนึ่งในย่านไลฟ์สไตล์และไวบ์ที่น่าอยู่ที่สุดในโลก และ หนึ่งในทำเลหายาก Rare Item ที่มีมูลค่าที่ดินสูงสุดในโลก แทบไม่มีที่ดินเพื่อพัฒนาต่อแล้ว โดย The Manner เป็นแบรนด์ลักชัวรี่โฮเทลใหม่  แห่งแรก ภายใต้การพัฒนาของแสนสิริ ร่วมกับ Standard International หลังจากเข้าลงทุนโดยกลุ่ม Hyatt ถือเป็นการขยายพอร์ตฯ พัฒนาอสังหาฯต่างประเทศในรอบกว่า 10 ปี ตอกย้ำแสนสิริ 40 ปี ผู้นำ Design Leader ในระดับประเทศ ก้าวสู่ Global Brand

 

A HOTEL THAT FEELS LIKE STAYING AT YOUR MOST STYLISH FRIEND’S HOME

ฉีกรูปแบบของโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ กับคอนเซ็ปท์ของ ไวบ์ดี (vibe) เซอร์วิสเยี่ยม ให้ประสบการณ์ความเป็นอยู่มากกว่าที่พัก ภายใต้บรรยากาศของการ “แวะมานอนเล่นที่บ้านเพื่อนเทสต์ดีในนิวยอร์ก” (welcomed into the home of dear friend) พร้อมห้องพัก Duplex Penthouse 2 ชั้น สุดแรร์เพียงห้องเดียวกับวิวที่หายากของ   มหานครนิวยอร์ก และห้องพักหลากหลายรูปแบบ ตกแต่งในหลากหลายดีไซน์รวมทั้งหมด  97 ห้อง โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด ตั้งแต่งานอินทีเรียร์เรียบหรูและคลาสสิกอย่างมีสไตล์ และประสบการณ์สุดไพรเวท นอกเหนือจากห้องพักระดับลักชัวรี่แล้ว The Manner ยังมอบบริการที่อบอุ่นและใส่ใจแบบเฉพาะบุคคล ตอบโจทย์นักเดินทางระดับลักชัวรี่ ที่ต้องการการพักผ่อนแบบมีคุณภาพ รวมถึงชอบงานดีไซน์ ที่เฟ้นหามาอย่างดีที่สุด กับบรรยากาศที่เป็นกันเอง ดยเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ประมาณ 30,000++ บาทต่อคืน

 

การเปิดตัวครั้งแรกของ The Manner โรงแรมใหม่ระดับลักชัวรี่ ใจกลางย่านโซโห ในมหานครนิวยอร์กครั้งนี้ มีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท (หรือกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตอกย้ำแสนสิริ ผู้พัฒนาอสังหาฯระดับลักชัวรี่-ซูเปอร์ลักชัวรี่ของไทย และ Design Leader ผู้นำด้านดีไซน์ที่ก้าวสู่ระดับ Global Brand ซึ่งนับว่าเป็นอีกครั้งสำคัญของแสนสิริ ในการรุกพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ หลังประสบความสำเร็จจาก 9 Elvaston Place โครงการระดับไฮเอนด์แรกของแสนสิริ เพียง 6 ยูนิต ในใจกลางล​อนดอน ประเทศอังกฤษ ในรอบกว่าทศวรรษ มูลค่ารวม 600 ล้านบาท

 

จากข้อมูล Luxury Travel Trend Watch: 2025 โดย Virtuoso และ Globetrender พบว่าเทรนด์การท่องเที่ยวแบบลักชัวรี่ (Luxury and Hi-end Travelling) หรือ ท่องเที่ยวแบบติดแกลม เที่ยวหรู อยู่แพงกำลังได้รับความนิยม โดยนักเดินทางระดับสูงกลุ่ม HNWI (High-Net-Worth Individuals) ส่วนมากมีอายุน้อยลง พร้อมจ่ายเพื่อไลฟ์สไตล์การพักผ่อนที่ตอบโจทย์ รวมถึงชอบสังสรรค์ในพื้นที่ที่ไพรเวทเป็นส่วนตัว ตลอดจนพักผ่อนคุณภาพในโรงแรมที่มีสไตล์และดีไซน์สะท้อนรสนิยม โดยตลาดเอเชีย คือ ผู้ขับเคลื่อนสินค้าลักชัวรี่ที่สำคัญ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มคนไทยและเอเชียที่มีกำลังใช้จ่ายในการท่องเที่ยวชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบมีสไตล์ และคุณภาพ

Crafted Residential AmbienceThe Manner ความหรูหราผสานงานคราฟท์ชั้นเยี่ยมที่พิถีพิถันในทุกดีเทล

แสนสิริ ในฐานะ Design Leader ผู้นำที่รังสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับแลนด์มาร์กของประเทศไทย มากว่า 40 ปี  นำความเชี่ยวชาญและเฮอริเทจที่ฝังแน่นอยู่ใน DNA ถ่ายทอดดีไซน์และประสบการณ์ที่ The Manner ออกแบบในสไตล์เรียบโก้แต่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ เน้นความประณีตและพิถีพิถันในการออกแบบ ตั้งแต่ประสบการณ์บรรยากาศการเข้าพัก, งานอินทีเรียร์และการตกแต่ง, การบริการที่มอบความเป็นส่วนตัวและ tailored เฉพาะบุคคล, การต้อนรับอย่างอบอุ่น ไปจนถึงชุดยูนิฟอร์มพนักงาน ที่ออกแบบโดย Michael Halpern ดีไซเนอร์ระดับกูตูร์    ชาวลอนดอน และตัดเย็บชุดโดย Lady & Butler แบรนด์แฟชั่นดังในนิวยอร์ก เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางระดับลักชัวรี่ที่ไม่เพียงแค่ต้องการที่พักผ่อน แต่ยังมองหาประสบการณ์ที่เหนือระดับและตอบโจทย์รสนิยม

 

ออกแบบโดย Verena Haller, Chief Design Officer จาก Standard International และ Hannes Peer สถาปนิกชาวมิลาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Hannes Peer ได้นำความท้าทายและความเชี่ยวชาญด้าน architecture มาใช้กับงาน interior โดยออกแบบพื้นที่ภายในโรงแรมอย่างลงตัวด้วยลูกเล่นของพื้นผิว texture วัสดุ และองค์ประกอบพิเศษต่างๆ ผสานกับการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่สั่งทำพิเศษเข้ากับงานตกแต่ง วัสดุที่สะท้อนความหรูหราและคลาสสิก เช่น ทองเหลือง, ไม้ สร้างไวบ์ของการพักผ่อนที่แท้จริง มากกว่าการใช้ของที่มูลค่าราคาสูง นอกจากนี้ ยังรวบรวมงานอาร์ตและ sculpture จากหลากหลายศิลปินทั่วโลกมาไว้ที่นี่ อาทิ เสา Totem สีดำ ในล็อบบี้ โดย Nicholas Shurey, Ceramic Wall Art โดย Giovanni de Francesco ศิลปินชาวอิตาลี, Elvira Solana, Alex Proba and Ben Medansky

 

The Manner ประกอบด้วยห้องพัก 97 ห้อง เป็นห้องสวีท 10 ห้อง ออกแบบให้เป็นห้องพักสำหรับแขกผู้มาเยือนอย่างแท้จริง ทุกรายละเอียดในห้องพักออกแบบอย่างพิถีพิถัน เงียบสงบ บนพื้นที่ไพรเวทเป็นส่วนตัว เรียบง่าย ขนาดตั้งแต่ 300 ถึง 850 ตารางฟุต โดยแต่ละห้องออกแบบเพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายภายนอก ตกแต่งด้วยกระจกสูง high ceiling จากพื้นจรดเพดานเพื่อเปิดรับวิวเมือง โคมไฟแชนเดอเลียที่จัดวางอย่างมีสไตล์ การเล่นสีสันตัดกันระหว่างสีของไม้วีเนียร์เข้มวาววับและสีน้ำเงินเข้มเคลือบแล็กเกอร์ภายในห้องพัก สร้างความบาลานซ์ให้กับพื้นที่และแสงสว่าง เพิ่มความอบอุ่นด้วยสีสันโทนอ่อน นอกจากนี้ ยังมีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสั่งทำพิเศษ ให้ความหรูหราในกลิ่นอายแบบย้อนยุคและร่วมสมัย รวมถึง amenities ภายในห้องพัก ยังได้รับการคัดสรรค์ และร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก รังสรรค์แบบ handcrafted เป็นพิเศษ ตั้งแต่ Lenys World แบรนด์ slipper จากอิตาลี, Foundrae แฟชั่นจิวเวลรี่แบรนด์ที่ยอดนิยมในเหล่าเซเลบริตี้คนดัง, Atelier Saucier เครื่องใช้ในห้องน้ำระดับพรีเมี่ยม, Costa Brazil แบรนด์รักษ์โลกที่ทำ amenities ขึ้นพิเศษสำหรับที่นี่, Max ID แก้วน้ำดื่มรูปทรงเก๋ที่ใช้ภายในห้อง เป็นต้น และที่สำคัญ The Manner ไม่มีจอทีวี หรือ อุปกรณ์แท็บเล็ตใดๆ เพื่อไม่รบกวนวันพักผ่อนที่พิเศษของลูกค้า แต่ต้องการให้ได้เอนจอยกับ playlist เพลงโปรด กับเครื่องเสียงดีไซน์เก๋จาก Dampf

 

ห้องพัก Duplex Penthouse สุดแรร์ พร้อม outdoor terrace สุดไพรเวท กับ ที่สุดของไอคอนิกวิว Mahattan’s Skyline

เพนท์เฮาส์ห้องใหญ่สุดไพรเวท 2 ชั้น (Duplex) ขนาดกว่า 1,800 ตารางฟุต บนที่ชั้น 12 และ 13 พาคุณย้อนเวลากลับไปสู่ยุครุ่งเรืองของนิวยอร์กกับความหรูหราและสง่างาม แรงบันดาลใจจากสตูดิโอออฟฟิศสุดโมเดิร์น ของ Halston Frowick แฟชั่นดีไซเนอร์ดังของยุคนั้น กับสไตล์ monochrome ใน Olympic Tower ที่เหล่าคนดังในวงการเซเลบริตี้ อาร์ติสและแฟชั่นดีไซน์เนอร์ต่างต้องมาแวะเวียน ถ่ายทอดการออกแบบสู่ The Manner โดดเด่นด้วยพื้นห้องสีแดงมันวาวสุดเปรี้ยว หน้าต่าง double-height เพิ่มความดราม่า เปิดรับแสงธรรมชาติและวิวเมืองภายนอก นอกจากนี้ ยังมี outdoor terrace สุดไพรเวท กับวิวตระการตาของ Mahattan’s Skyline รวมถึงห้องนอนชั้นบนพร้อมกับโต๊ะทำงาน ผู้เข้าพักยังได้รับสิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่เอ็กซ์คลูซีฟสเปซ ชั้นดาดฟ้าของThe Manner rooftop เพื่อจัดงานปาร์ตี้สังสรรค์หรือนั่งชิลล์ดื่มด่ำกับวิวของมหานครนิวยอร์กได้แบบส่วนตัว บนชั้นสองของโรงแรม พบกับ “The Apartment” เอ็กซ์คลูซีฟเลานจ์สำหรับ guests-only แขกที่มาเข้าพักห้บรรยากาศแบบอบอุ่นสบายเหมือนอยู่บ้าน โดยสามารถแวะมานั่งพักผ่อน มิงเกิลและเอ็นจอยกับไวน์ แชมเปญ และ snacks ที่โรงแรมเตรียมให้ระหว่างวันได้ รวมถึง “The Otter” ร้านอาหาร All Day Seafood โดย Chef Alex Stupak ผู้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิง James Beard รางวัลอันทรงเกียรติสำหรับร้านอาหารและเชฟของอเมริกา คัดสรรค์วัตถุดิบซีฟู้ดสดใหม่ทุกวัน โดย The Otter เปิดให้บริการทั้ง 3 รอบ สำหรับทั้ง breakfast, lunch และ dinner กับที่นั่งแบบ indoor และ outdoor และ Slone’s บาร์สุดเก๋ ที่เปรียบเหมือน jewel box ในยามค่ำคืน ที่มากกว่าค็อกเทลบาร์แต่เป็น Nightly cocktail party ที่พรั่งพร้อมด้วยเครื่องดื่มระดับวินเทจมากมาย และ rooftopกับดาดฟ้า ให้คุณได้ดื่มด่ำกับวิวทั้งย่านดาวน์ทาวน์และมิดทาวน์ โดย Slone’s พร้อมเปิดให้บริการช่วงเดือนมีนาคม ปี 2568

 

 

 

 

 

 

 

 

You can share this post!