ไทยยูเนี่ยนฯเผยแผนธุรกิจปี 68 มีทิศทางที่ดี ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ ปรับตัวดีขึ้น หนุนกำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น ล่าสุดประกาศโรดแม็ป3 กลยุทธ์ใหม่ มุ่งสู่ปี 2573 เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายทำยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.45 แสนล้านบาท (US$7billion) ภายในปี 2573 จาก1.36 แสนล้านบาท (US$3.9 billion) ในปี 2567 และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น100% จากประมาณ 14,000 ล้านบาท (US$400 million) เป็น 24,500 – 28,000 ล้านบาท(US$700-US$800 million) ภายในหกปีข้างหน้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่าน่าจะไปในทิศทางที่ดีเมื่อเทียบกับปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องและภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน ซึ่งจะหนุนให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวกลับมา รวมถึงบริษัทยังได้ปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของโลกที่ยังมีอยู่ แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน โดยที่ยังต้องติดตามการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้า
อย่างไรก็ตามมองว่าโลกทุกวันนี้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไปจนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกความท้าทายนำมาซึ่งโอกาสการเติบโตในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การปรับตัว แต่ต้องก้าวพ้นกระแสแห่งความผันผวนนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเอง โดยบริษัทฯมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายยอดขาย 2.45 แสนล้านบาท(US$7billion) และเพิ่ม EBITDA เป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ของไทยยูเนี่ยน
สำหรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ของไทยยูเนี่ยนแบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญเพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ กำไรขั้นต้น และ EBITDA โดยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่ง 3 แกนหลักนี้ประกอบด้วย:
1.เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก: ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ ๆ
2.สร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต: มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนท์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
3.การเปิดน่านน้ำใหม่: มุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต
นายพอล เฮอร์โฮลซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU กล่าวว่า กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ที่ประกอบด้วย 3 แกนหลัก เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วยโอกาสการเติบโตทั้งจากธุรกิจในปัจจุบัน และธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสู่ความสำเร็จในอีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องวางรากฐานที่แข็งแกร่ง โดยจะดำเนินงานผ่าน 2 โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่มีแผนงานที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ดังกล่าว และผลักดันให้ความมุ่งมั่นของเราประสบความสำเร็จ”
ไทยยูเนี่ยนได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติสำคัญ 6 ประการที่จะเป็นรากฐานและเตรียมองค์กรให้พร้อมตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ประกอบด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรและการพัฒนาบุคลากร การมุ่งเน้นการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายการผลิตและการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ การยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัล การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม และการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันจากความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ
โดยโปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่น ภายใต้กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ประกอบด้วย
โปรเจกต์โซนาร์ (Project Sonar) ซึ่งเป็นโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มบริษัท มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว และโปรเจกต์เทลวินด์(Project Tailwind) ซึ่งมุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ทั้งสองโปรเจกต์จะดำเนินการควบคู่ และสอดคล้องกันเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 และส่งเสริมการรวมแผนงานเป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต
ด้วยการดำเนินโปรเจกต์โซนาร์ ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนเฉลี่ยต่อปีได้ 2,625 ล้านบาท(US$75 million) ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประมาณ 40% ของเงินส่วนนี้จะถูกนำกลับมาลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป โปรเจกต์โซนาร์มีเป้าหมายที่จะสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 สร้างขีดความสามารถด้านการจัดซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบ
โปรเจกต์เทลวินด์ (Tailwind) เป็นแผนการทรานส์ฟอร์มเมชั่นของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ประมาณ 1,750 ล้านบาท (US$50 million) ต่อปี
สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป ซึ่งกุญแจสู่สำเร็จคือ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตลาด รู้ลึก รู้จริงถึงความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อและกระบวนการผลิต ในขณะที่โปรเจกต์เทลวินด์จะมุ่งเน้นไปที่การเร่งขับเคลื่อนการเติบโตจากการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจในปัจจุบัน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมุ่งสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้ 3 เท่าอยู่ที่ประมาณ 52,500 ล้านบาท (US$1.5 billion) ภายในปี 2573
ขณะนี้ ไทยยูเนี่ยนได้เริ่มต้นดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 รวมถึงโครงการทรานส์ฟอร์มเมชั่นทั้งสองโครงการ โดยมีการดำเนินการสำคัญ ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ,การเพิ่มการลงทุนด้านการส่งเสริมการตลาดเพื่อคงความเป็นผู้นำแบรนด์อาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลกหลากหลายแบรนด์ของกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง ,การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านการผลิต การขยายทีมและยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลของกลุ่มบริษัททั่วโลก เป็นต้น
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมา 47 ปี และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขาย ณ ปี 2566 ถึง 136,153 ล้านบาท (3,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita
ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเลนอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship
ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 พร้อมขยายขอบเขตการทำงานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน และยังได้รับการจัดอันดับในดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับหนึ่ง 3 ปีติดต่อกัน และในปี 2566 ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ตลอดจนได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จากสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก Carbon Disclosure Project (CDP) สะท้อนความความโปร่งใสและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในปี 2567 ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน