InnovestX มองหุ้นไทยยังมีโอกาสลงต่อ มองแนวรับถัดไปที่ 1,355 และ 1,345 จุด ชี้มีแต่ปัจจัยลบกดดัน รอลุ้นตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(10ม.ค.) ตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน และเฟดที่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ มีความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ เป็นปัจจัยกดดันดัชนีได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,355 และ 1,345 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,372-1,380 จุด ประเด็นสำคัญ ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้
ประเด็นสำคัญ
• CPI จีน ธ.ค. ปรับขึ้น 0.1%YoY ชะลอจาก พ.ย. ที่ 0.2%YoY ส่วน PPI หดตัว 2.3%YoY หดตัวติดต่อกัน 27 เดือน สะท้อนเศรษฐกิจจีนเผชิญความยากลำบากและเผชิญกับภาวะเงินฝืด
• ปธน. ไบเดนจะจำกัดการส่งออกชิป AI อีกครั้ง โดยจะแบ่งระดับการควบคุมเป็น 3 ระดับ กลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ จะเข้าถึงชิปโดยไม่มีข้อจำกัด, กลุ่มศัตรูจะถูกห้ามซื้อชิป และกลุ่มอื่นๆ จะถูกจำกัดพลังประมวลผล
• นายกฯ มาเลเซียตั้งเป้าดันมาเลเซียเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานและการผลิตชิปในภูมิภาค ชูจุดเด่นเศรษฐกิจแข็งแกร่งและค่าเงินมีเสถียรภาพ ขณะประเทศอื่นเผชิญความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการเมือง
• สมาคมโรงแรมไทยร่วมกับ ธปท. เผยอัตราเข้าพักเฉลี่ย ธ.ค. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 76% เทียบเท่าระดับ Pre-COVID19 ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และคาดการณ์อัตราเข้าพักเฉลี่ยใน ม.ค. 68 จะเป็น 73% สูงขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• ธพ. เผยปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงช่วง 11M67 เพิ่มขึ้น 2.0%YoY สู่ 155.22 ล้านลิตร/วัน โดยเพิ่มขึ้นจากดีเซลและน้ำมันอากาศยาน +2.4% และ 18.4% ตามลำดับ ส่วนเบนซินเพิ่มขึ้นเพียง 0.02% หนุนจากกิจกรรมเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและการท่องเที่ยวฟื้นตัว
• ThaiBMA ประเมินปี 2568 มียอดหุ้นกู้ใหม่ 8-9 แสนลบ. จับตาหุ้นกู้ไฮยีลด์ยอดออกใหม่ลด 50% เหตุขาดความเชื่อมั่น ศก. ซบเซา พบบริษัทถูกดาวน์เกรดหุ้นกู้เพิ่มเป็น 46 บริษัทในปี 2567 หลังภาพธุรกิจแย่ลง ยังไร้สัญญาณหุ้นกู้เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เพิ่ม
• เจ้าหน้าที่เฟดหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ 1370-1410 จุด แม้คาดตัวเลขเศรษฐกิจจีนจะมีสัญญาณฟื้นตัวและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง แต่คาดนักลงทุนยังรอติดตามนโยบายการค้าของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ ซึ่งจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. นี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศค่อนข้างผสม จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาและจะมีผลบังคับในช่วงต้นปีนี้ แต่อาจถูกบั่นทอนจากการขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศเป็นความเสี่ยงที่กดดันให้ Fund Flow ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังมีแรงขายกดดันจากเม็ดเงินโครงการกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
Daily top picks
KTB: หุ้นปันผลสูงซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 หุ้นละ 1.06 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Div. Yield สูงปีละ 4.9% ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรจะเติบโต 50%YoY สูงสุดในกลุ่มธนาคาร
HMPRO: 4Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากการขยายสาขาและ EBIT margin ที่กว้างขึ้น ขณะที่ยอดขายสาขาเดิม 1Q68 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง (มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ในเดือน ม.ค.-ก.พ.) อีกทั้งปัจจุบัน Valuation ยังน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER 67F และ 68F ต่ำกว่า -2S.D.