news-details
Business

“BDMS Wellness Clinic” ทุ่มงบ 25,000 ล้านบาท เตรียมผุด “Wellness Real Estate”คอนเซ็ปต์ “ซิตี้”ย่านหลังสวน รายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุดผนึก “Thailand Privilege Card” ส่งสิทธิประโยชน์อัลตรา ลักชัวรี ยกระดับไทยสู่การเป็น “Wellness Hub Thailand”ระดับโลก

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก เผยทำสัญญาเช่าที่ดินย่านซอยหลังสวน จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 15 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี+30 ปี เตรียมแผนผุด“Wellness Real Estate แห่งที่ 2 และแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Wellness City พร้อมประกาศเปิดตัวในปีนี้ คาดแล้วเสร็จปี 73 ล่าสุดผนึก “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ดร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นำเสนอบริการที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ชาวต่างชาติระดับสูง ผลักดันประเทศไทย ขึ้นแท่น Wellness Hub Thailand และ Top 5 จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก

 

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) และบีดีเอ็มเอส เวลเนส  รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า ปัจจุบันสสังคมผู้สูงอายุมีสูงมากขึ้น โดยปัจจุบันกลุ่มผู้มีอายุเกิน 60 ปี มีมากกว่า 20% และจากข้อมูลพบว่าจำนวน 100 คนทั่วโลก จะเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึงสัดส่วน 74% โดย 3 เซกเมนต์ที่มีอัตรการเติบโตสูงสุด คือ

1.Wellness Real Estate หรือ อสังหาฯที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม มีอัตราการเติบโตประมาณ 15%ต่อปี เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในวงการอสังหาฯ นับว่าเป็นเค้กชิ้นใหญ่ที่นักพัฒนาอสังหาฯ ในไทยจับตามอง

2.Mental Wellness (ด้านสุขภาพจิต) อัตราการเติบโตประมาณ 12%ต่อปี

3.Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีอัตราการเติบโตประมาณ 10.2%ต่อปี

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยในช่วงก่อนวิกฤติโควิต-19 มีผู้มาใช้บริการในประเทศไทยมากถึง 15 ล้านคน ติดอันดับที่ 7 ของโลก รองจาก สหรัฐอเมริกา,เยอรมนี,จีน,ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น และในปี 2566 ลดลงมาเหลือที่ 13.5 ล้านคน เป็นอันดับที่ 15 ของโลก แต่เป้าหมายในอนาคตตั้งเป้าที่จะติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก แต่เนื่องจากในเรื่องของ Wellness hub Thailand นั้นไม่สามารถดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน จึงจะสำเร็จ ซึ่งเชื่อว่าในปี 2568 นี้ นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในประเทศไทยจะเกิน 15 ล้านคนอย่างแน่นอน

โดยปัจจุบันเครือ BDMS มีคนไข้รวมทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประมาณ 200,000 คน โดย 3 อันดับแรกที่เป็นลูกค้าของเครือ BDMS คือ 1.กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) ,2.จีน และ3.กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา,ลาว,เมียนมา และเวียดนาม)ทั้งนี้จะเน้นตรวจโปรแกรม Wellness Blueprint (พิมพ์เขียวสุขภาพ) ซึ่งจะเป็นการตรวจแบบละเอียด โดยกลุ่มอายุ 30 ปี ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 60,000-70,000 บาท ,กลุ่มอายุ 40 ปี ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท ,กลุ่มอายุ 50 ปี ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาทขึ้นไป หรือค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อหัว/ทริป ประมาณ 60,000-70,000 บาท/วัน/ครั้ง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสัดส่วนผู้มาใช้บริการเครือ BDMS จะเป็นคนไทย สัดส่วน 45% และต่างประเทศ 55% และในปี 2568 ตั้งเป้าผู้มาใช้บริการชาวต่างชาติเพิ่มเป็น 65% และภายในระยะเวลา 3 ปี (นับจากปี 2568) ตั้งเป้าผู้มาใช้บริการต่างชาติเพิ่มเป็น 70%

นายแพทย์ตนุพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการลงทุนของ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ซึ่งเป็นคลินิกสุขภาพเชิงป้องกันของประเทศไทย นั้น ในช่วงที่ผ่านมาได้ทำสัญญาเช่าที่ดินย่านซอยหลังสวน จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 15 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี+30 ปี บริเวณด้านข้างโครงการ “เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน” ซึ่งถือว่าเป็นที่ดินแปลงที่สวยที่สุด โดยมีแผนพัฒนาเป็น Wellness Real Estate แห่งที่ 2 ต่อจากย่านวิทยุ แต่โครงการใหม่นี้จะพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ Wellness City ที่เป็นโครงการมิกซ์ยูส มูลค่าการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Hercules ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยจะทำการเปิดตัวในปี 2568 นี้ และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปี 2573 ซึ่งถือว่าเป็น Wellness Real Estate” คอนเซ็ปต์ Wellness City แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากรายงานของ Global Wellness Institute (GWI) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ศึกษาและวิจัยด้านสุขภาพเชิงป้องกันและอุตสาหกรรมเวลเนสทั่วโลก เผยข้อมูลด้านการเติบโตของอุตสาหกรรมเวลเนสล่าสุดว่า ในปี 2023 (พ.ศ.2566) ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2028(พ.ศ.2571) จะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% สูงกว่า GDP โลกซึ่งอยู่ที่ 4.8% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการตอบรับเทรนด์ด้านธุรกิจสุขภาพอย่างรวดเร็ว

โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก และมีปัจจัยหลักในการดึงดูดชาวต่างชาติคุณภาพสูงให้เข้ามาพำนักระยะยาว ได้แก่ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่งดงาม อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ วัฒนธรรมไทยและการบริการที่มีคุณภาพ การแพทย์แผนไทยที่ผสานสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ และความก้าวหน้าด้านการแพทย์ที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ล่าสุดได้ร่วมมือกับ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (Thailand Privilege Card) ผู้ให้บริการบัตรสมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ เอกสิทธิ์วีซ่าพำนักระยะยาว ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) นำเสนอบริการที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ชาวต่างชาติระดับสูง ผลักดันประเทศไทย ขึ้นแท่น Wellness Hub Thailand และ Top 5 จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก

โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะถือเป็นก้าวสำคัญ ที่จะส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านศักยภาพทางการแพทย์ไทยสู่กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงและมีคุณภาพ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการพำนักระยะยาว  ปัจจุบันโลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ (Aged Society)ประกอบกับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่ได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดท่ามกลางคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลก หันมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพแบบ Preventive Medicine หรือการป้องกันก่อนเกิดโรคมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ Non-Communicable Diseases (NCDs) เช่น โรคความดัน โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก/ตัน โรคอ้วน โรคเครียด และโรคมะเร็ง

“บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ในฐานะศูนย์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เล็งเห็นโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันประเทศไทย สู่การเป็น Wellness Destination of the World ผ่านการให้บริการการดูแลสุขภาพด้วยหลัก Scientific Wellness และเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการด้านการดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่ในมิติที่หลากหลาย ซึ่งความร่วมมือกับ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่จุดหมายปลายทางทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ผู้ถือบัตร ไทยแลนด์  พริวิเลจ คาร์ด จะสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ด้านการดูแลสุขภาพในหลากหลายมิติ เช่น การตรวจสุขภาพระดับเซลล์ การตรวจความยาวเทโลเมียร์เพื่อประเมินอายุเซลล์ การตรวจ Epigenetics เพื่อหาความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ในอนาคต การตรวจสมดุลฮอร์โมน วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงการออกแบบการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) และการปรุงวิตามินเฉพาะบุคคล (Personalized Supplements)”นายแพทย์ตนุพล กล่าว

 

ด้าน นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า การร่วมมือกับ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ครั้งนี้ เป็นการจับมือพันธมิตรด้าน Health & Wellness เพื่อนำเสนอบริการแก่สมาชิกชาวต่างชาติกว่า 37,000 คน เรามีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอศักยภาพของการแพทย์และบริการด้านสุขภาพไทยผ่านการให้บริการสิทธิประโยชน์ของบริษัทฯ ซึ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับการให้บริการ ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย โดยไทยแลนด์ พริวิเลจ เชื่อมั่นในศักยภาพด้านการแพทย์ระดับสากลของ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก แก่ชาวต่างชาติคุณภาพสูงที่ต้องการพำนักในไทย และกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมการพัฒนาแพ็กเกจบริการพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชาวต่างชาติระดับสูง

ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กรเพื่อมอบประสบการณ์ด้านสุขภาพและการพำนักระยะยาวในประเทศไทยพร้อมสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ในมิติที่หลากหลาย โดยเฉพาะบริการทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากล และสิทธิประโยชน์พิเศษที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกโดยเฉพาะ พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของโลกสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Destination of the World อย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง” นายมนาเทศ กล่าวในที่สุด

 

 

 

You can share this post!