แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 68 ยังไม่ฟื้น รับแรงกดดันจากยอดคงค้าง NPL หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แบงก์ยังเข้มปล่อยสินเชื่อ ส่งผลแผนปีงูเล็กเปิดตัวใหม่เพียง 4 โครงการ รวมมูลค่า 11,180 ล้านบาท ลดฮวบจากปีก่อนถึง 64%แนะผู้ประกอบการรักษาสภาพคล่อง ระวังการใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้แตะ 23,000 ล้านบาท และยอดโอน 20,000 ล้านบาท มั่นใจฐานะการเงินยังแกร่ง ด้านธุรกิจให้เช่าเตรียมทยอยเปิดตัวแบรนด์ “Grande Centre Point” 3 ทำเล ใน 3 ปี ทั้งเล็งขยายฐานซื้อกิจการโรงแรมเพิ่ม รับตลาดท่องเที่ยวโต
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 อาจจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 2.9% และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะลดลง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจะมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ และจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น แต่ภาคการส่งออกยังชะลอตัว ทำให้เศรษฐกิบเติบโตได้ไม่สูงมากนัก และความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ยังได้รับแรงกดันจากยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ปรับสูงขึ้น และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการให้สินชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
“ภาพรวมตลาดอสังหาฯที่ผ่านมาย้อนหลังไปประมาณ 5-7 ปี มีซัปพลายคอนโดฯกันมาก แต่พอช่วงวิกฤติโควิด-19 ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาแนวราบกันมาขึ้น และในครึ่งหลังปี 2567 เริ่มเห็นสัญญาณดีมานด์ที่ลดลง ทำให้ซัปพลายใหม่ลดลงตามไปด้วย ซึ่งการพัฒนาโครงการและการทำตลาดจึงไม่ง่ายเหมือนเช่นในอดีต เมื่อเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 วิกฤติที่เกิดเปรียบเสมือนกับเป็นโรคหัวใจเฉียบพลัน แต่เมื่อมีการปั๊มขึ้นมาก็มีอาการดีขึ้น ในขณะที่วิกฤติในปัจจุบันเหมือนเป็นการซึมยาว และ Sentiment ยังไม่ดีขึ้นเหมือนเช่นในอดีต”นายนพร กล่าว
ดังนั้นส่งผลให้ในปี 2568ไม่ได้รุกการเปิดโครงการมาก โดยมีการเปิดตัวใหม่เพียง 4 โครงการ รวมมูลค่า 11,180 ล้านบาท จากปี 2567 ที่เดิมวางแผนจะเปิดตัว 11 โครงการ รวมมูลค่า 30,200 ล้านบาท แต่ได้เพิ่ม “Vie ทางด่วนรามอินทรา-วงแหวน ” มูลค่า 650 ล้านบาท มาอีก 1 โครงการ รวมเป็น 12 โครงการ รวมมูลค่า 30,850 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้มูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงถึง 64% ถือว่าเป็นการเปิดตัวโครงการน้อยที่สุดนับตั้งแต่ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯพัฒนาโครงการมา จากทุกๆปี ที่จะต้องมีการประกาศแผนเปิดตัวปีละไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ
โดยโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ โดยจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8 – 15 ล้านบาท คือ Siwalee และแบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 30 - 80 ล้านบาท คือ Nantawan และ VIVE ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสินค้าในระดับกลาง-บน หรือทดแทนโครงการที่ขายหมดในปีที่ผ่านมา ได้แก่
1.สีวลี บางนา กม.13 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 73 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว จำนวน 326 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 9.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 3,040 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 1/2568
2.VIVE ภูเก็ต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว จำนวน 36 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 36.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 1/2568
3.VIVE กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 48.3 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว จำนวน 73 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 63.3ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,620 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 2/2568
4.นันทวัน ราชพฤกษ์-พรานนก ตั้งอยู่บนพื้นที่ 33.2 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว จำนวน 34 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 65.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2568
ดังนั้น เมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2568 จะมีทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่าประมาณ 93,000 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 69 โครงการ มูลค่าประมาณ 79,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ากว่า 13,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2568 ประมาณ 10.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.8 ล้านบาทในปีก่อน
“เราได้ทยอยลดการเปิดตัวโครงการใหม่มาประมาณ 3-4 ปีแล้ว เพราะพอร์ตเดิมยังมีอยู่มาก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับกลาง-บน และปัจจุบันยังมีที่ดินสะสมอยู่อีกหลายแปลง มูลค่ารวมประมาณ 34,000 ล้านบาท โดยเป็นที่ดินที่อยู่ในต่างจังหวัดประมาณ 12-15% โดยรวมแล้ว เฉพาะมูลค่าโครงการแนวราบที่เปิดใหม่ เพิ่มขึ้น8.4% จากปีก่อน โดยในระหว่างปีบริษัทฯ มีการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 4,300 ล้านบาท ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในปีนี้ คือ การรักษาสภาพคล่อง และระมัดระวังนการใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 23,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดโอนไว้ที่ 20,000 ล้านบาท”นายนพร กล่าว
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการดำเนินงานโดยสรุปของบริษัทฯสำหรับปี 2567 รวมทั้งแผนงานของปี 2568 ดังนี้
-ในช่วง 10 เดือนแรก ปี 2567 ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) แสดงจำนวนที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยผู้ประกอบการ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งตลาดลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมในตลาดที่อยู่อาศัยยังอ่อนตัวลง และเมื่อแยกรายตลาด พบว่า ตลาดบ้านแนวราบมีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 22% ในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมมีการโอนกรรมสิทธิ์ใกล้เคียงกับปีก่อน
-ในด้านอุปทาน ข้อมูลจากบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) แสดงจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปี 2567 ลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน อุปทานที่ลดลงมาจากทั้งตลาดบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม แต่หากพิจารณาเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวพบว่า จำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่ ลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในตลาดบ้านเดี่ยวมีจำนวนน้อยกว่าอุปทานที่เปิดขายใหม่ราว 50% จึงส่งผลให้จำนวนหน่วยเหลือขายของตลาดบ้านเดี่ยวเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้สินค้าบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีการแข่งขันที่สูงมากต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565
-สำหรับปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 2.9% และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะลดลง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจะมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐและจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น แต่ภาคการส่งออกยังชะลอตัว ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ ความต้องการซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังได้รับแรงกดดันจากยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ปรับสูงขึ้น และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในปีนี้คือ การรักษาสภาพคล่อง และความระมัดระวังในการใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ
-ปี 2567 สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯโดยมีสัดส่วนประมาณ 80% ของยอดขาย และเมื่อจำแนกตามพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย โดยสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 88% ของยอดขายรวมทั้งหมด ซึ่งกว่าครึ่งของยอดขายรวมมาจากบ้านระดับราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป
-บริษัทฯ ได้เปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ “Vie ” ภายใต้คอนเซปต์The Limitless Life เป็นแบบบ้านสไตล์ Modern Minimal ให้พื้นที่และฟังก์ชันเปิดกว้างเน้นพื้นที่ใช้สอย โดยในปี 2567 ได้เปิดตัวโครงการแล้วใน 3 ทำเล ได้แก่ ราชพฤกษ์ตัดใหม่ ทางด่วนรามอินทรา-วงแหวน และ ปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5
นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวว่า ภาพตลาดรวมและข้อมูลสินค้าคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ดังนี้
-ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) แสดงจำนวนหน่วยห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยผู้ประกอบการ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 พบว่ามีจำนวนใกล้เคียงกับปีก่อน โดยสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติมีประมาณ 15% เพิ่มจาก 13.5% ในปีก่อน
-ข้อมูลจากบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) แสดงหน่วยขายห้องชุดที่เปิดใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ปี 2567 ลดลงประมาณ 43%จากปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการมีการปรับตัวโดยเปิดโครงการลดลงตามทิศทางของกำลังซื้อที่ยังไม่ได้แข็งแรง อย่างไรก็ตามความต้องการซื้อในปีนี้ มีจำนวนมากกว่าหน่วยขายที่เปิดใหม่ จึงทำให้จำนวนหน่วยเหลือขาย ในตลาดคอนโดมิเนียม ณ สิ้นปี ลดลงจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาด
-ในปี 2568 คาดว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยบวกจากจำนวนหน่วยเหลือขายที่ปรับลดลงในปี 2567และการลดลงของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น อีกทั้งเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และมาตรการ LTV ยังเป็นปัจจัยกดดันส่งผลให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมอาจยังไม่แข็งแรงเท่าช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายจากสินค้าคอนโดมิเนียมกว่า 3,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขายรวมทั้งหมด โดยหลัก ๆ เป็นยอดขายจากโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา ประมาณ 2,500 ล้านบาท โครงการนี้เป็นโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดตัวในช่วงปลายปี 2566 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในปีที่ผ่านมาโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยาได้เปิดเฟสใหม่ โดยเปิดขาย Tower C ในช่วงเดือนกันยายน 2567 ปัจจุบันโครงการมียอดขายรวมประมาณ 7,700 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าโครงการ การพัฒนาโครงการมีความคืบหน้าประมาณ 20% และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ในช่วงปลายปี 2569
ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,200 ล้านบาทและโครงการวันเวลาที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีกกว่า 7,300 ล้านบาท ซึ่งในปี 2568 บริษัทฯ จะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นายอาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ซึ่งเป็นทายาทคนที่ 2 ของ นายอนันต์ อัศวโภคิน มีประสบการณ์ด้านไฟแนนซ์เชียล จากสถาบันการเงินมาหลายปี และได้เข้ามาร่วมบริหารงานในบริษัทฯอย่างเต็มตัวเมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา กล่าวว่า ฐานะการเงินของบริษัทฯ และการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โดยผลการดำเนินงานปี 2567 ในด้านฐานะทางการเงิน บริษัทฯ ยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.14% ต่อปี เพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ ประมาณ 67,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย3.11%
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่พัฒนาและอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ทั้งหมด 18 แห่ง ประกอบด้วยโรงแรม Grande Centre Point ที่เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง (ขายเข้ากองทรัสต์ 6 แห่ง) และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 3แห่ง ศูนย์การค้า Terminal 21 จำนวน 3 แห่ง (ขายเข้ากองทรัสต์ 2 แห่ง) รวมถึง อะพาร์ตเมนต์และโรงแรมในสหรัฐอเมริกาอีก 5 แห่ง
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจดังกล่าวมีการเติบโตได้ดีกว่าแผนที่วางไว้ โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตประมาณ 16% จากปีก่อน สาเหตุมาจากธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายได้จากโรงแรม Grande Centre Point Surawong ที่ดำเนินการได้เต็มปีในปี 2567 และการเข้าซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach เมื่อเดือนมีนาคม 2567 ทำให้รายได้จากกิจการโรงแรมในสหรัฐอเมริกาเติบโตกว่าเท่าตัวจากปีก่อน
โดยรวมแล้ว บริษัทฯ มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าและบริการ เป็นมูลค่า 5,800 ล้านบาท ประกอบด้วย
- เข้าซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach 2,400 ล้านบาท
- พัฒนาโครงการ Grande Centre Point Lumphini 2,100 ล้านบาท
- พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์อื่นๆ 1,300 ล้านบาท
โดยในเดือนพฤศจิกายน 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการขายศูนย์การค้า Terminal 21 Pattaya ให้กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ (LHSC) เป็นมูลค่า 5,680 ล้านบาท ผ่านการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุน แต่เนื่องจากความต้องการหน่วยทรัสต์ของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยมีมากเกินความคาดหมาย จึงส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนใน LHSC ของบริษัทฯ ปรับเปลี่ยนจาก 9.0%เป็น 7.8%
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2568 บริษัทฯเตรียมเดินหน้าธุรกิจให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ลดระดับหนี้สินต่อทุน อีกทั้งได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 8,500 ล้านบาทประกอบด้วย
- งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท
- งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,500 ล้านบาท
และในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 แห่งในเดือนเมษายนคือ Grande Centre Point Lumphini ซึ่งเป็นอาคารประเภท Mixed Use ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานประมาณ 12,700 ตารางเมตร (ตร.ม.) และโรงแรม 512 ห้อง พร้อมทั้งพื้นที่จัดเลี้ยงที่มากที่สุดในเครือโรงแรม Grande Centre Point ตามด้วย Grande Centre Point Ratchadamri2 ที่จะเปิดตัวในปี 2569 และ Grande Centre Point Pattaya3 ที่จะเปิดตัวในปี 2570
นอกจากนี้บริษัทฯ คาดว่าจะปรับพอร์ตการลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยลดสัดส่วนของอะพาร์ตเมนต์ลงตามสถานการณ์หลังการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home อยู่ และบริษัทฯ จะหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก อีกทั้งยังมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด และคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ในระดับประมาณ 1.0 เท่า ซึ่งลดลงจากสิ้นปี 2567
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธุรกิจ ในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชมอลล์แอนด์โฮเทล (LHMH) และธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชยูเอสเอ (LHUSA) ประกอบด้วยโรงแรม ห้างสรรพสินค้า อะพาร์ตเมนต์ และพื้นที่สำนักงานให้เช่า รายละเอียดของโครงการทั้งหมดที่แสดงเป็นรายได้จากโรงแรมและค่าเช่าในงบกำไรขาดทุน