อสังหาริมทรัพย์

บริทาเนียฯคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวครึ่งปีหลัง 67 จากการปรับลดดอกเบี้ย-มาตราการช่วยเหลือภาครัฐ เปิดแผนปี 67 ผุดแนวราบใหม่  20 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท ชูโมเดลร่วมทุนแลนด์ลอร์ด ตจว.16 โครงการ พัฒนาเอง 4 โครงการ เจาะตลาดราคา 5-30 ล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก  บริทาเนีย,แกรนด์ บริทาเนีย  และเบลกราเวีย ลดความเสี่ยงยอด Reject สูง ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 13,000 ล้าน พร้อมยอดโอนกรรมสิทธิ์ 8,000 ล้านบาท

นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยหลังจากดำรงตำแหน่งใหม่เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ว่าได้มองถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งยังคงต้องรอผลของปัจจัยบวกในช่วงครึ่งปีแรกเห็นผลมากขึ้น หลังจากที่ปัจจุบันการท่องเที่ยวสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างดีและคึกคักมากขึ้น แต่ยังคงรอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆของภาครัฐ และการลงทุนภาครัฐเข้ามาเพิ่มเติม รวมถึงทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เข้าช่วยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้

สำหรับในส่วนของบริษัทฯเองนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่บริษัทขยายการเติบโตแบบก้าวกระโดด เปิดตัวโครงการใหม่ในหลากหลายทำเลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน จนกลายเป็นผู้นำทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ รวมถึงมีโครงการครอบคลุมจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ ส่งผลให้บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

นายธีรเดช กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2567 ว่าจะเปิดตัวแนวราบใหม่ ทั้งหมด 20 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท เท่านกับแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2566 ที่ผ่านมา ที่วางไว้ 20 โครงการ แต่มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถเปิดตัวได้เพียง 12 โครงการ รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นอีก 8 โครงการที่เหลือ จึงเลื่อนมาเปิดตัวในปี 2567 ที่ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวระดับบน ,ระดับลักชัวรี่ และบ้านแฝด โดยเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร (JV) จำนวน 16 โครงการ และอีก 4 โครงการเป็นโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง

โดยที่จะเห็นว่าการเปิดโครงการในปีนี้จะเน้นไปที่โครงการระดับราคา 5-30 ล้านบาท ขึ้นไปภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ บริทาเนีย (Britania), แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) และเบลกราเวีย (Belgravia) ซึ่งเป็นเป็นกลุ่มเซกเมนต์ที่กำลังซื้อยังแข็งแรงในหลากหลายทำเลที่มีความต้องการซื้อในพื้นที่ และการแข่งขันยังไม่สูงมาก เพื่อวางรากฐานการกระจายโอกาสสู่ทำเลใหม่ๆ ประกอบกับความเสี่ยงในเรื่องของสินเชื่อมีต่ำ เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง ทำให้บริษัทสามารถลดความเสี่ยงในโอนไปได้ ต่างจากโครงการระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่มีการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูง และสถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งในปี 2567 บริษัทมีเปิดโครงการทาวน์โฮม แบรนด์ไบรตัน (Brighton) ระดับราคา 2.8 ล้านบาท เพียง 1 โครงการเท่านั้น

ส่วนโครงการในต่างจังหวัดยังคงเดินหน้าต่อ  ซึ่งวางแผนเปิดตัว 12 โครงการ มูลค่ารวม 9,000-10,000 ล้านบาท ใน 6 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี และขอนแก่น ซึ่งได้ใช้โมเดลพันธมิตรร่วมกับแลนด์ลอร์ดในพื้นที่ โดย BRI ถือหุ้น 51% และแลนด์ลอร์ด 49% ครอบคลุมทุกทำเลศักยภาพ โดยที่ในปี 2567 บริษัทไม่ได้มีการวางงบลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพราะมีที่ดินรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว และยังมีที่ดินอีก 23 แปลง ที่รองรับการพัฒนาใน 2 ปีข้างหน้าได้ ทำให้ในปี 2567 บริษัทไม่ได้วางงบซื้อที่ดินใหม่เข้ามา

ส่วนมูลค่าโครงการที่พร้อมโอนของบริษัทในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะยังคงเดินหน้าในการขายเพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัทต่อเนื่อง และบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2566 ที่ 1,300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 1 เดือน และจะมี Backlog ใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติมจากการขายบ้านให้กับลูกค้า ซึ่งทุกๆ 1 เดือนจะมีการโอนจาก Backlog เข้ามาเป็นรายได้ของบริษัท

โดยในปี 2567 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 13,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 12,500 ล้านบาท และยอดโอน 8.000 ล้านบาท

สำหรับบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่

1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท       2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท

3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท

4.ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2566 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 42 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 53,772 ล้านบาท