news-details
Business

กลุ่มBTS ปลุกคืนชีพที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ “โรงภาษีร้อยชักสาม” Final ล่าสุดดึง “แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป” เปิดตัว “เดอะ แลงแฮม แบงค็อก”

อาคารศุลกสถานหรือโรงภาษีร้อยชักสาม เป็นอาคารเก่าแก่อยู่คู่กับย่านเจริญกรุงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาอย่างยาวนานร่วม 136  ปี บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า “ศุลกสถาน” ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2431  บนพื้นที่ 5 ไร่ เจ้าของคือกระทรวงการคลัง อดีตคือที่ทำการของศุลกสถาน (หรือกรมศุลกากรในปัจจุบัน) เป็นหนึ่งในอาคารที่มีสถาปัตยกรรมยุโรปที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น เพื่อเป็นที่ทำการเก็บภาษีสินค้าขาเข้าที่เรียกว่า “ภาษีร้อยชักสาม” ดังนั้น จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรงภาษีร้อยชักสาม และเมื่อประกอบกับปัจจัยภายนอกอย่างการตัดถนนเจริญกรุงเพื่อขยายเมืองกรุงเทพฯ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณโดยรอบโรงภาษีร้อยชักสามจึงถือเป็นย่านเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่ง ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวยังคงรายล้อมด้วยสถานที่สำคัญหลายแห่ง

นอกจากจะใช้เป็นที่ทำการเก็บภาษีสินค้าขาเข้าและขาออกที่เรียกว่า “ภาษีร้อยชักสาม” แล้ว อาคารแห่งนี้ยังเคยเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ของเชื้อพระวงศ์และชาวต่างชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของงานสมโภชเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนิวัติพระนครหลังจากเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ต่อมาพ.ศ. 2492 กรมนี้ได้ย้ายไปอยู่ย่านคลองเตย  จนกระทั่งปี 2502 ศุลกสถานถูกปรับเป็นที่ทำการสถานีตำรวจดับเพลิงบางรักกว่า 60 ปี ก่อนจะย้ายออกไป และเป็นที่ทำการของตำรวจน้ำ แต่ด้วยความที่ไม่มีงบประมาณในการดูแล ส่งผลให้ทรุดโทรมอยู่นานหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อปี 2547 กรมธนารักษ์ ได้เปิดให้เอกชนเข้าประมูลพัฒนาที่ดินแปลงนี้และมีบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่หลายรายให้ความสนใจ เช่น บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) ในยุคที่ นายเสริมสิน สมะลาภา เป็นผู้บริหาร  ,กลุ่มที.ซี.ซี. แลนด์ ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี  ,บริษัท โรงแรมโอเรียนเต็ล ,เหมราชพัฒนาที่ดิน ของ นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ,โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา ของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ และปรากฏว่า กลุ่มแนเชอรัล พาร์ค ก็เป็นผู้ชนะคว้าสิทธิการประมูลไปได้

แต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องติดปัญหาสัญญาร่วมลงทุนนานถึง 11ปี  จนกระทั่งในปี 2560 ที่ผ่านม าศาลปกครองมีคำสั่งพิพากษาให้ “กรมธนารักษ์” คู่สัญญา “แนเชอรัลพาร์ค” หรือชื่อใหม่คือ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด(มหาชน)หลังจากที่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ BTS ของ นายคีรี กาญจนพาสน์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เมื่อปี 2538  จึงพร้อมเดินหน้าลงทุนได้เหมือนนับหนึ่งใหม่ โดยจุดขายสำคัญ คือความสวยงามทางสถาปัตยกรรมของอาคารเก่า 100 กว่าปี ตัวอาคารมีรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยคลาสสิกสูง 3 ชั้น มีมุขกลางสูง 4 ชั้น ยาวแผ่ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีระเบียงทางเดินด้านหน้าซึ่งประกอบด้วยซุ้มหน้าต่างตลอดแนวอาคาร ซึ่งในขณะนั้นบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หวังจะเข้ามาพลิกโฉมอาคารแห่งนี้ให้เป็นลักชัวรี่โฮเต็ลแห่งใหม่ด้วยการดึงเครืออามันรีสอร์ท เข้ามาบริหาร เดิมกำหนดเปิดให้บริการในปี 2568 ต่อมาได้มีการปรับให้ บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ RABBIT บริษัทในเครือของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ BTS เป็นผู้ดำเนินการ และล่าสุดได้เปลี่ยนเชนโรงแรม จากเครืออามันรีสอร์ท เป็น แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป

 

มร.บ็อบ แวนเดน ออร์ด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดว่า กลุ่มแลงแฮม ได้ร่วมมือกับ บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ RABBIT บริษัทในเครือของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ BTS ปิดตัวโรงแรม “เดอะ แลงแฮม แบงค็อก” (The Langham Bangkok) แห่งแรกในกรุงเทพฯ โดยตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ซึ่งโรงแรมจะนำอาคารเก่าของโรงภาษีร้อยชักสาม และ อาคารที่ทำการไปรษณีย์เก่า อายุรวมกว่า 130 ปี มารีโนเวทใหม่ให้สวยงาม และยังคงเก็บคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของอาคารเดิมไว้ เพื่อกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ พร้อมมีการสร้างเพิ่มอาคารหลังใหม่เป็นห้องพัก จำนวน 78 ห้อง ส่วนราคาเข้าพักนั้น อยู่ในเรทใกล้เคียงกับโรงแรมต่างๆที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ และส่วนอาคารโรงภาษีร้อยชักสามเดิม จะพัฒนาเป็นพื้นที่ของร้านอาหาร บาร์ และสปา โดยทุกอาคารของโรงแรมจะมีตั้งแต่ 1 ถึง 5 ชั้นและมีชั้นใต้ดินถึง 2 ชั้น

- อาคาร 1 (ส่วนห้องพัก) - 5 ชั้น + 2 ชั้นใต้ดิน*** อาคารหลัก

- อาคาร 2 (การบรรทุก เครื่องกล ไฟฟ้า และประปา) – N/A

- อาคาร 3 (ห้องบอลรูมชั้นใต้ดิน) - 1 ชั้นใต้ดิน

- อาคาร 4 (ศาลานั่งเล่นริมแม่น้ำ) 1 ชั้น + ห้องโล่ง

- อาคาร A (ร้านอาหารถัง คอร์ท +บาร์) 2 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน

- อาคาร B (โถงผู้โดยสารขาเข้าและร้านอาหาร) 3 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน

- อาคาร C (แผนกต้อนรับ) 2 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน

โดย เดอะ แลงแฮม แบงค็อก ณ อาคาร Customs House ดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์มรดกที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมายของ แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป ได้แก่ เดอะ แลงแฮม บอสตัน ซึ่งเป็นโรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ในอาคารเก่าของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เดอะ แลงแฮม ชิคาโก สถานที่พักผ่อนอันหรูหราตั้งอยู่ในอาคาร Mies van der Rohe อันเป็นเอกลักษณ์ และ เดอะ แลงแฮม แพซาดีนา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดซึ่งมีอายุย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1907 นอกจากนี้ล่าสุด แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป ได้เข้าไปบูรณะโรงงานกระจกเก่าบนเกาะมูราโน ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนอันหรูหราเหนือกาลเวลา

ซึ่งทั้งโครงการมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 6,000 ล้านบาท  สูงกว่างบเดิมที่ตั้งไว้กว่า 4,600 ล้านบาท ซึ่งเดิมกำหนดแล้วเสร็จภายในปลายปี 2568 แต่ด้วยความที่อาคารดังกล่าว ต้องดำเนินการร่วมกับองค์กรภาครัฐและเอกชนต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างมาก ทำให้โครงการดังกล่าวเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2569 นี้

"เราได้มีการนำเสนอความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของเดอะ แลงแฮม ซึ่งแฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์ ไฮไลต์สำคัญของที่นี่คือการนำภัตตาคาร ถัง คอร์ท (T’ang Court) ร้านอาหารกวางตุ้งระดับมิชลินสามดาวจากฮ่องกงมาสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เหนือระดับ พร้อมด้วยบาร์เครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์และขนมหวานระดับโลก ที่จะทำให้โรงแรมแห่งนี้กลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่นักชิมทั่วโลกจะพลาดเสียไม่ได้ นอกจากนี้ แขกผู้เข้าพักยังสามารถสัมผัสกับความผ่อนคลายเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จิตวิญญาณ และจิตใจ ที่ ฉวน สปา (Chuan Spa) สถานที่พักผ่อนเพื่อสุขภาพชั้นนำที่เดอะ แลงแฮม ภูมิใจนำเสนอได้อีกด้วย"มร.บ็อบ กล่าว

โดยอาคาร Customs House ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888 เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงงานฝีมืออันยอดเยี่ยมด้วยการออกแบบสไตล์นีโอ-ปัลลาเดียนโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน Joachim Grassi ในส่วนของตัวอาคารมีพื้นไม้สัก บันไดกลางขนาดใหญ่ และโถงทางเดินสี่ชั้นอันงดงามเปี่ยมมนต์ขลัง เป็นตัวอย่างอันน่าทึ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน อาคารหลังนี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหน้าเป็นตาของกรุงเทพฯ เป็นประตูสู่ประเทศไทยและมีเรื่องราวในอดีตที่เคยเป็นที่จัดงานสังสรรค์ของราชวงศ์ รวมถึงยังเคยเป็นสถานที่เฝ้ารับเสด็จรัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินกลับจากการประพาสทวีปยุโรปเมื่อ พ.ศ. 2450 อีกด้วย

โดยการกลับมาของกลุ่มแลงแฮม ในประเทศไทยอีกครั้ง ได้รับความร่วมมือกับทางกลุ่มบีทีเอส ที่เป็นพันธมิตรที่ดี ในการเข้ามาบริหารโรงแรมที่มีศักยภาพ จากการที่กรุงเทพฯถือเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่นักท่องเที่ยวต่างเดินทางเข้ามา และกลุ่มแลงแฮม มั่นใจในศักยภาพของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทำเลที่ตั้งของโรงภาษีร้อยชักสาม ที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ถือเป็นทำเลที่นักท่องเที่ยวต่างต้องการเดินทางเข้ามาเข้าพัก และสัมผัสประสบการณ์ จะเห็นได้จากโรงแรมในบริเวณริมเมน้ำเจ้าพระยาถือเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆที่นักท่องเที่ยวต้องการเข้าพัก และมีอัตราการเข้าพักที่สูง เช่นเดียวกับอัตราค่าห้องพักที่สามารถทำได้ในระดับที่สูงด้วย

 

ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์แก่นแท้ทางประวัติศาสตร์ของอาคาร Customs House ไปพร้อมกับการผสมผสานความหรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว การบูรณะอย่างพิถีพิถันนี้จะเชิดชูลักษณะทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของอาคาร ควบคู่ไปกับการเสริมการออกแบบร่วมสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกตามศาสตร์และศิลป์อันทันสมัย ซึ่งการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเก่าและใหม่นี้จะทำให้แขกผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์พิเศษที่เฉลิมฉลองทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนานและอนาคตอันสดใสของสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้อย่างไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน

 

 

เกี่ยวกับ เดอะ แลงแฮม โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ท

การผสมผสานความซับซ้อนที่ทันสมัยและความเย้ายวนใจเหนือกาลเวลา เดอะ แลงแฮม โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ท ได้รับการยอมรับทั่วโลกในด้านการบริการที่สะดวกสบาย คอลเลกชันงานศิลปะร่วมสมัย ความเชี่ยวชาญด้านการทำอาหารที่ได้รับรางวัล และสีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันโดดเด่นของอังกฤษจากการเปิดโรงแรมเรือธงในลอนดอนในปี 1865 เดอะ แลงแฮม ยังคงสืบทอดมรดกด้วยการมอบประสบการณ์พิเศษพร้อมสัมผัสแห่งความสนุกสนานในจุดหมายปลายทางสำคัญในสหราชอาณาจักร ยุโรป ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา เอเชียแปซิฟิกและจีนแผ่นดินใหญ่ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ได้ที่ LanghamHotels.com และติดตาม เดอะ แลงแฮม โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ท บน อินสตาแกรม (@langhamhotels), เฟซบุ๊ก (@thelanghamhotels) และ X (@thelanghamhotel)

 

เกี่ยวกับ แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป

แลงแฮม ฮอสปิทาลิตี้ กรุ๊ป (Langham Hospitality Group: LHG) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ Great Eagle Holdings ถือหุ้นทั้งหมด ประกอบด้วยกลุ่มแบรนด์ที่โดดเด่น ซึ่งรวมถึง The Langham Hotels and Resorts, Cordis Hotels, Eaton Workshop และ Ying'nFlo ด้วยโรงแรมและที่พักอาศัยมากกว่า 40 แห่งในการดำเนินงานหรือการพัฒนา LHG มีการดำเนินงานทั่วโลกที่ขยายไปทั่วเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง โดยได้ชื่อมาจาก เดอะ แลงแฮม ลอนดอน (The Langham, London) ซึ่งเป็นโรงแรมแกรนด์แห่งแรกของยุโรป ที่ถือเป็นจุดสุดยอดของการต้อนรับอันประณีตและสง่างามมากว่า 150 ปีแล้ว ตามปรัชญาของแบรนด์ที่สะท้อนให้เห็นทั่วทั้งโรงแรมในเครือ ผ่านการออกแบบที่สร้างแรงบันดาลใจ นวัตกรรมล้ำสมัย การบริการที่จริงใจ และความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการสร้างความทรงจำอันยิ่งใหญ่ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมที่เว็บไซต์ LanghamHospitalityGroup.com

 

เกี่ยวกับบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

แรบบิท โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทการลงทุนชั้นนำที่เชี่ยวชาญในภาคบริการทางการเงินและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกันภัยและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีประวัติที่โดดเด่นในด้านความสำเร็จในการร่วมลงทุนด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนโรงแรมและที่พักอาศัย ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญที่กว้างขวาง แรบบิท โฮลดิ้งส์ ได้สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้เล่นหลักในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งทางการตลาด ปัจจุบัน แรบบิท โฮลดิ้งส์ ได้เปลี่ยนทิศทางเชิงกลยุทธ์เพื่อมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมบริการทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความยืดหยุ่น โดยขยายพอร์ตโฟลิโอและใช้ประโยชน์จากความร่วมมือภายใต้กลยุทธ์ 3M ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (MOVE, MIX และ MATCH) ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ RabbitHoldings.co.th

 

 

 

You can share this post!